
ในปัจจุบันโลกเรามีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วและซับซ้อนมากขึ้น เทคโนโลยีและวิวัฒนาการของ AI ที่ก้าวหน้าไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของเรา แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเรา จนอาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลเกี่ยวกับอนาคตการทำงาน
แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าอาชีพในอนาคต 2030 จะเป็นงานแบบไหน? ไม่ว่าจะกำลังเริ่มต้นในโลกการทำงาน หรือกำลังมองหาโอกาสในการเปลี่ยนสายงาน บทความนี้จะพาไปสำรวจ10 อาชีพมาแรงในอนาคต 2030 พร้อมแนะนำทักษะที่เป็นประโยชน์ ที่ให้คุณพร้อมเริ่มต้นพัฒนาตั้งแต่วันนี้ เพื่อการวางแผนอนาคตอย่างมั่นใจ!
ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังก้าวหน้า โลกเรากลับกำลังเผชิญความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ให้เกิดความต้องการอาชีพต่าง ๆ ในอนาคต
จากรายงาน The Global Risks Report 2024 โดย World Economic Forum คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2024-2034 โลกเรากำลังเผชิญกับ 10 ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ๆ ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น 1.ความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่จะยิ่งทวีความรุนแรง 2.เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่แฝงไปด้วยภัยจากการเข้าถึงความเป็นส่วนตัวหรือความผิดพลาดที่มีความซับซ้อน และ 3.ความเสี่ยงและปัญหาจากสภาพสังคมต่าง ๆ
ความเสี่ยงเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการตลาดอาชีพที่จะเกิดขึ้น เพราะทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างต้องการคนเข้ามารับมือและสร้างนวัตกรรมเพื่อรองรับอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอาชีพหลัก ๆ คือ
1.กลุ่มอาชีพเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Jobs)
2.กลุ่มอาชีพการแพทย์และบริการสุขภาพ (Medical and Healthcare Jobs)
3.กลุ่มอาชีพดิจิทัล (Digital Jobs)
Green Jobs หรือสายงานสีเขียว คือ กลุ่มอาชีพที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นงานภาคการผลิต การสร้างสรรค์ หรือการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการจัดการของเสียและมลพิษ เพื่อลดผลกระทบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
ถึงแม้กลุ่มอาชีพนี้จะมีมานานแล้ว แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ต้นทุนวัสดุที่ลดลง และเทรนด์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ Green Jobs เป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการในอนาคตมาดูกันว่าอาชีพเหล่านี้มีอะไรบ้าง!
อาชีพช่างเทคนิคกังหันลมเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชีพพลังงานหมุนเวียน ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมแซมกังหันลม ตลอดจนตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบส่งสัญญาณไฟใต้ดิน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการสร้างพลังงานไฟฟ้าจากลม
แนวโน้มความต้องการ
ในปัจจุบัน การส่งเสริมพลังงานลมในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่มีความเร็วลมค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม อาชีพที่เกี่ยวข้องกับพลังงานลมกำลังได้รับความต้องการสูงในต่างประเทศ เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแนวโน้มการเติบโตถึง 68.2% ตามข้อมูลจากสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกา
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ทักษะเครื่องกล (Mechanical Skill)
ช่างเทคนิคพลังงานกังหันลมจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องเครื่องกลเบื้องต้น เพื่อใช้ในการบำรุงรักษา แก้ไขปัญหา และซ่อมแซมระบบไฮดรอลิก รวมไปถึงมีความเข้าใจในกลไกการทำงานของกังหันลม
-ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving)
ช่างเทคนิคพลังงานลมจะต้องใช้ทักษะการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าหากเกิดปัญหากังหันลมหยุดทำงาน หรือมีจุดขัดข้องทำให้จ่ายไฟฟ้าไม่ได้ จะต้องพร้อมรับมือและระบุสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ เพื่อที่จะวางแผนซ่อมแซมได้ถูกจุด
-ทักษะการเขียนรายงาน (Technical Writing)
ช่างเทคนิคพลังงานกังหันลม จะต้องจัดทำเอกสารและส่งรายงานเกี่ยวกับผลการทดสอบ การตรวจสอบ การซ่อมแซม หรือปัญหาที่พบเจออยู่เสมอ ดังนั้นการเขียนรายงานที่มีความชัดเจนและเป็นระเบียบ จะช่วยให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจรายงานได้ และส่งต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อาชีพช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์หรือช่างโซลาร์เซลล์ เป็นอีกหนึ่งอาชีพอยู่ในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน มีหน้าที่รับผิดชอบการประกอบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ตลอดจนการวิเคราะห์แนวโน้มการผลิตพลังงาน และให้คำแนะนำการปรับปรุงประสิทธิภาพกับผู้ใช้งาน
แนวโน้มความต้องการ
ด้วยปัจจุบันการติดตั้งโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงจากเมื่อก่อนมาก เพิ่มเติมด้วยแรงสนับสนุนจากภาครัฐด้วยการปรับนโยบายต่าง ๆ ทำให้อาชีพนี้ช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Technician) มีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าการจ้างงานในอาชีพนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 52% ระหว่างปี 2020 ถึง 2030 ตามข้อมูลจากสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกา
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ความรู้พื้นฐานด้านไฟฟ้า (Fundamental of Electronics)
ช่างโซลาร์เซลล์จะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบไฟฟ้า กำลังไฟ แรงดันไฟ กระแสไฟ และประเภทของกระแสไฟต่าง ๆ เพื่อใช้ทำความเข้าใจในระบบการติดตั้งโซลาร์เซลล์
-การออกแบบและคำนวณระบบโซลาร์เซลล์ (Solar Power System Design)
ก่อนการติดตั้งแผงวงจร ช่างโซลาร์เซลล์จะต้องทำการศึกษาและประเมินพื้นที่หน้างาน และคำนวณโครงสร้างอาคารที่มีผลต่อการรับน้ำหนักของแผงวงจร ตลอดจนค่าอื่น ๆ เพื่อนำไปวางแผนการติดตั้งและอธิบายแก่ผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ ได้
-ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving)
ช่างโซลาร์เซลล์ต้องใช้ทักษะการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าหากเกิดปัญหาไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ จะต้องพร้อมรับมือและระบุสาเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อวางแผนซ่อมแซมได้ถูกจุด
ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน คือ ผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำ ประเมิน วางแผน และพัฒนากลยุทธ์เพื่อผลักดันให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้าน ESG (Environment, Social, Governance) โดยมีเป้าหมายคือ สนับสนุนให้ธุรกิจและองค์กรลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง
แนวโน้มความต้องการ
ความต้องการของอาชีพที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Verdantix องค์กรวิจัยนวัตกรรมระดับโลกคาดการณ์ว่าในปี 2027 อุตสาหกรรมสีเขียว จะมีมูลค่าทั่วโลกถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ผู้บริโภคจะยิ่งตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นการมีที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving)
ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน อาจจะต้องเผชิญกับปัญหารอบด้านในการวางแผนกลยุทธ์ต่าง ๆ ดังนั้นทักษะการแก้ไขปัญหา จึงเป็นอีกทักษะสำคัญ ที่จะช่วยระบุปัญหาและจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ทักษะการโน้มนาวและจูงใจ (Influencing Skill)
การมีทักษะการโน้มน้าวและจูงใจที่ดี จะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วม เข้าใจถึงความสำคัญของความยั่งยืน และให้ความร่วมมือในการกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
-ทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)
ทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ จะเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน สามารถมองเห็นภาพรวมสิ่งต่าง ๆ และเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายธุรกิจและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถวางแผนการปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ได้ในระยะยาว
อุตสาหกรรม Healthcare มีแนวโน้มจะเติบโตในระยะยาว ด้วยกลุ่มประชากรในหลายประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่มาพร้อมกับปัญหาอัตราการเกิดที่น้อยลง ผู้คนจะยิ่งให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น เพื่อยืดอายุและลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้น ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพและการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
จากแนวโน้มนี้ทำให้เกิดความต้องการจ้างงานด้านสุขภาพที่สูงขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ
พยาบาลเวชปฏิบัติ (Nurse Practitioner)
พยาบาลเวชปฏิบัติ มีหน้าที่ให้บริการด้านสุขภาพ ครอบคลุมไปถึงการดูแลและการจัดการขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ตลอดจนสามารถประเมินสุขภาพของผู้ที่มารับบริการ เพื่อการตัดสินใจและการวินิจฉัยแยกโรคเบื้องต้นภายใต้ขอบเขตที่แพทย์กำหนดได้
แนวโน้มความต้องการ
พยาบาลเวชปฏิบัติได้รับความนิยมเนื่องจากความสามารถในการให้บริการสุขภาพที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลผู้สูงอายุและการป้องกันโรค ทำให้บทบาทนี้มีความสำคัญและเติบโตต่อเนื่องในอนาคต เช่นนั้นกลุ่มงานพยาบาลจึงได้รับความสนใจมากขึ้นถึง 52.2% ตามข้อมูลจากสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกา
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
การประกอบอาชีพพยาบาลนั้นจำเป็นต้องเรียนจบระดับปริญญาตรีในสาขาพยาบาล และเรียนต่อเฉพาะทาง นอกจากนี้ยังมีทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น
-ความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ (Infection Prevention and Control)
เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพพยาบาล เนื่องจากการติดเชื้อเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และเด็ก ซึ่งมีความเสี่ยงสูง การมีความรู้และปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการติดเชื้ออย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้
หากคุณสนใจพิสูจน์ทักษะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Micro-Credentials การป้องกันการติดเชื้อสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
-ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill)
ทักษะการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญของงานพยาบาล โดยเฉพาะในการอธิบายแผนการบำบัดหรือการดูแลสุขภาพให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจอย่างชัดเจน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในกระบวนการรักษา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความร่วมมือของผู้ป่วยและการฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานกับทีมอื่น ๆ
-ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving)
ทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะที่ช่วยให้พยาบาลสามารถจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมืออาชีพ ลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และส่งเสริมการฟื้นตัวของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์
นักกายภาพบำบัด คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย โดยใช้เทคนิคทางกายภาพ เช่น การออกกำลังกายและการบำบัดด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดอาการปวด เพิ่มความคล่องตัว และฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว
แนวโน้มความต้องการ
อาชีพนักกายภาพบำบัดมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรโลกและในประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การฟื้นฟูสุขภาพร่างกายจึงมีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้คนยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต การทำกายภาพบำบัดจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพในระยะยาว
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill)
ทักษะการสื่อสาร มีความสำคัญสำหรับนักกายภาพบำบัด เพราะช่วยให้การอธิบายแผนการบำบัด วิธีการฟื้นฟูสมรรถภาพ และขั้นตอนการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเป็นไปอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยังช่วยให้นักกายภาพบำบัดเข้าใจความต้องการและอาการของผู้ป่วยได้ลึกซึ้งมากขึ้น ส่งผลต่อการวางแผนการบำบัดที่ตรงจุดและเหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
-ทักษะการโน้มน้าวและจูงใจ (Influencing Skill)
การมีทักษะการโน้มน้าวและจูงใจที่ดี จะช่วยให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญของการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางส่วน ที่ส่งผลให้การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในระยะยาว
-ทักษะการใส่ใจในรายละเอียด (Detail-Oriented Skill)
นักกายภาพบำบัดจะต้องทำการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาของผู้ป่วย จำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบในการบันทึกข้อมูล เพื่อต่อยอดการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยตามบ้าน จะทำหน้าที่ช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันแก่ผู้สูงอายุ ผู้ทุพพลภาพ ผู้ป่วยหลังผ่าตัด หรือผู้ป่วยระยะยาว อย่างเช่น ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น
แนวโน้มความต้องการ
ในปัจจุบันที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว โดยกระทรวงสาธารณสุขของไทยคาดการณ์ว่าผู้สูงอายุคนไทย จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนคน ทำให้ธุรกิจสุขภาพของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพ จะมีมูลค่าประมาณ 2.99 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 7.5% ต่อปี จากตัวเลขคาดการณ์นี้ทำให้เห็นว่าการให้บริการดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ทักษะการโน้มน้าวและจูงใจ (Influencing Skill)
ทักษะการโน้มน้าวและจูงใจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุเห็นความสำคัญของการปรับพฤติกรรม เช่น การดูแลตัวเอง การออกกำลังกาย หรือการทำตามแผนการบำบัด ซึ่งช่วยส่งเสริมให้สุขภาพดีขึ้นและฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
-ทักษะการใส่ใจในรายละเอียด (Detail-Oriented Skill)
การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยตามบ้านต้องใช้ความใส่ใจในทุกรายละเอียด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอาการแทรกซ้อนหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ผู้ดูแลต้องคำนึงถึงทุกความต้องการ ตั้งแต่การให้ยาตรงเวลา การจัดการอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการดูแลกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด
-ความรู้การป้องกันการติดเชื้อ (Infection Prevention and Control)
การติดเชื้อเป็นภัยที่ร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง การมีความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโรคและรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อ
4LifelongLearning มี Micro-Credentials ที่ได้รับการออกแบบมาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้ที่ Micro-Credentials การป้องกันการติดเชื้อสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
หลังเหตุการณ์ Covid-19 ทำให้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของเรามากกว่าที่เคย หลายบริษัทปรับตัวเป็นการทำงานทางไกล (Remote Working) ทำให้เกิดการลงทุนกับซอฟต์แวร์มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
จากปัจจัยนี้ทำให้ความต้องการแรงงานด้านเทคโนโลยีจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการคาดการณ์ของ World Economic Forum จำนวนงานดิจิทัลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 73 ล้าน เป็น 92 ล้านงานภายในปี 2030
เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่หลายองค์กรมีความต้องการมากขึ้น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล เป็นอาชีพที่มีหน้าที่ออกแบบ วางระบบและพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลให้มีความปลอดภัย อีกทั้งต้องทำการตรวจสอบ และดูแลความเรียบร้อยของระบบข้อมูลในองค์กร เพื่อป้องกันการโจมตีและการละเมิดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้หลากหลายมิติ
แนวโน้มความต้องการ
จากการที่เทคโนโลยี AI มีการพัฒนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้หลายธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เกิดข้อมูลปริมาณมหาศาลที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่ตามมาได้ ส่งผลให้ความต้องการอาชีพนักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูลจะยิ่งสูงมากขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน โดยมีคาดการณ์ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 33.3% จากฐานข้อมูล World Economic Forum
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-ทักษะการวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Assessment and Management)
นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล จะต้องมีความสามารถในการระบุช่องโหว่และประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พร้อมวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าเพื่อจัดการและลดผลกระทบที่คาดการณ์ไว้ได้อย่างเป็นระบบ
-ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill)
นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูลจะต้องทำงานและขอความร่วมมือกับทีมต่าง ๆ ทักษะการสื่อสารจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้การอธิบายข้อมูลเชิงเทคนิคให้กับทีมบริหารหรือทีมธุรกิจสามารถเข้าใจได้แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อน และเป็นปัจจัยสำคัญให้สามารถบรรลุแผนงานที่วางไว้ได้
-ทักษะการใส่ใจในรายละเอียด (Detail-Oriented Skill)
เนื่องจากการโจมตีทางไซเบอร์อาจจะตรวจจับได้ยาก นักวิเคราะห์ความปลอดภัยจะต้องใส่ใจ รอบคอบต่อระบบ และสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อยได้อยู่เสมอ
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล เป็นกลุ่มอาชีพที่มีหน้าที่ในการจัดการข้อมูล (Data) ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Data Scientist, Data Engineer และ Data Analyst
ทั้ง 3 อาชีพ มีการทำงานที่แตกต่างแต่เกี่ยวข้องกัน อย่างเช่น Data Scientist (นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล) ทำหน้าที่สร้าง Model โดยการนำข้อมูลขนาดใหญ่มาเป็นต้นแบบ และมองหาผลลัพธ์เชิงลึก (Insight) จากการสร้าง Model ส่วน Data Engineer (นักวิศวะข้อมูล) มีหน้าที่วางระบบการไหลของข้อมูล หรือทำให้ข้อมูลเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนที่จะต้องใช้งาน ในขณะที่ Data Analyst (นักวิเคราะห์ข้อมูล) จะต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจธุรกิจมากที่สุด เพื่อใช้ในการหา Business Insight จากชุดข้อมูลที่มี
แนวโน้มความต้องการ
จากการเติบโตของ AI และ Machine Learning จะยิ่งบีบบังคับให้หลายธุรกิจเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เพื่อการแข่งขันที่เท่าเทียม ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เกิดข้อมูล (Data) มหาศาล และข้อมูลตรงนี้จะเป็นทรัพยากรสำคัญที่จะต่อยอดเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ ดังนั้น Data Expert จึงยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-การจัดระเบียบข้อมูล (Data Wrangling)
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลจะต้องมีทักษะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมจะนำไปวิเคราะห์หา Business Insight และเพิ่มคุณค่าของข้อมูลในมือมากยิ่งขึ้น
หากคุณสนใจพิสูจน์ทักษะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Micro-Credential การจัดระเบียบข้อมูล (Data Wrangling)
-การนำเสนอข้อมูล (Data Visualization)
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลอาจจะต้องการทักษะในการแปลงข้อมูลดิบให้เป็นภาพ ด้วยภาษาโปรแกรมมิ่ง Python ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่องค์กรต้องตัดสินใจจากข้อมูล เพราะการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบภาพช่วยให้ผู้บริหารและทีมเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
หากคุณสนใจพิสูจน์ทักษะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Micro-Credential Data Visualization ด้วย Python
-การเรียนรู้แบบคล่องตัว (Learning Agility)
เทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วถือเป็นความท้าทายสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลที่ต้องอัปเดตทักษะและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเครื่องมือหรือเทคนิคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในภูมิทัศน์ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ทำหน้าที่ในการออกแบบ พัฒนา และปรับใช้ระบบ AI ให้เข้ากับธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างถูกต้องและแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ป้อนข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อให้ AI มีความเข้าใจสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน
แนวโน้มความต้องการ
บริษัท McKinsey บริษัทที่ปรึกษาชื่อดังของโลก วิเคราะห์ไว้ว่าในปี ค.ศ.2030 กว่า 70% ของบริษัททั่วโลกจะใช้ AI ในการดำเนินธุรกิจ หลายภาคอุตสาหกรรมจึงต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)
ด้วยสโคปงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก การมีความสามารถในการแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ออกเป็นข้อย่อย จะช่วยให้เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนและสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุดมากยิ่งขึ้น
-การสื่อสาร (Communication Skill)
เนื่องจาก AI ต้องใช้ข้อมูลในการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ AI จึงจำเป็นต้องทำงานร่วมกันกับทีมอื่น ๆ ทักษะการสื่อสารจึงมีความสำคัญ การอธิบายข้อมูลเชิงเทคนิคให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้แม้ไม่มีพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้น
-ทักษะการใส่ใจในรายละเอียด (Detail-Oriented Skill)
การเรียนรู้และการพัฒนา AI มีความซับซ้อน ทักษะการใส่ใจในรายละเอียดจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมเมอร์ที่เราคุ้นเคยกัน เป็นอาชีพที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการออกแบบ และวางแผนการพัฒนา บำรุงรักษา และปรับปรุงซอฟต์แวร์หรือ Digital Product ต่าง ๆ ในที่นี้สามารถเป็นได้ทั้งโปรแกรม เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน
แนวโน้มความต้องการ
การปรับตัวสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ขององค์กรต่าง ๆ และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การทำงานแบบรีโมททางไกลมีแนวโน้มเติบโตสูง เพื่อเปิดรับตลาดแรงงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในอนาคตธุรกิจด้านซอฟแวร์และอาชีพนักพัฒนาซอฟแวร์จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น 22% จากข้อมูลสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐอเมริกา
ทักษะที่เกี่ยวข้อง
-การสื่อสาร (Communication Skill)
ทักษะการสื่อสารในการถ่ายทอดเรื่องทางเทคนิคที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและเป็นลำดับขั้นตอนจะทำให้สามารถทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ ในการพัฒนาระบบได้อย่างราบรื่นและตรงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
-ทักษะการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)
ทักษะการคิดเชิงคำนวณเป็นกระบวนการคิดพื้นฐานสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์และการเขียนโปรแกรม ที่ช่วยให้สามารถแก้ปัญหา วิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยใช้หลักการของวิทยาการคอมพิวเตอร์
หากคุณสนใจพิสูจน์ทักษะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Micro-Credential ทักษะการคิดเชิงคำนวณ
-แนวคิดของผลิตภัณฑ์ (Product Mindset)
Product Mindset เป็นแนวคิดการพัฒนาโซลูชันหรือซอฟต์แวร์ให้มีคุณค่าตอบโจทย์ผู้ใช้งาน มากกว่าการทำให้เสร็จตามกำหนด (Requirement-Based Development) แนวคิดที่จะทำให้คุณเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่โดดเด่น เพราะมีทักษะในการทำความเข้าใจผู้ใช้งาน และสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจในระยะยาว
หากคุณสนใจพิสูจน์ทักษะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Micro-Credential การสร้าง Product Mindset
ที่มา : https://www.4lifelonglearning.org
อมตะซิตี้ ระยอง ร่วมกับ สนง.นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง จัดกิจกรรมอบรม "การทำแค๊บหมู" ขึ้น หวังเพิ่มทักษะความรู้ด้านการประกอบอาชีพให้แก่ชุมชน และสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่รอบนิคมฯ อมตะ เพราะ "แค๊บหมู" เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการของตลาดสูงและสามารถผลิตขายได้ตลอดทั้งปี ทำให้ชุมชนมีรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจัดอบรบให้กับชุมชนในตำบลมาบยางพร ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง โดยเชิญวิทยากรจากกลุ่มชุมชนนิคมบ่อวิน จ.ชลบุรี มาช่วยถ่ายทอดความรู้ คลิปวิดีโอ “ขั้นตอนการทำแค๊บหมู” นี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ที่สนใจในการทำแค๊บหมู สามารถทำตามขั้นตอนได้อย่างง่ายดาย สามารถทำขายเป็นอาชีพหรือทำทานเล่นที่บ้านได้ด้วยเช่นกัน คลิกลิงค์เพื่อดู “ขั้นตอนการทำแค๊บหมู”
อ่านเพิ่มเติม
Amata Jobs online เป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้ที่ต้องการหางานและนายจ้างที่ต้องการสรรหาบุคคลากรเข้าร่วมงานได้มาพบปะกันโดยตรงผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์บนเว็บไซต์ของเรา ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับทุกๆ คน ได้ประหยัดเวลา ประหยัดค่าเดินทาง และในวันนี้เราได้รวบรวม 10 เทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่ต้องการหางานโดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาที่จบใหม่และยังไม่มีประสบการณ์ในการสมัครงานหรือการสัมภาษณ์งานได้มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น มาดูกันเลยว่ามีเทคนิคดีๆ อะไรบ้าง1. ประหยัดเวลามากขึ้น เมื่อใช้เว็บไซต์ช่วยหางานในหลายๆ เว็บไซต์หางานมักจะมีตัวเลือกที่บอกว่า “Advanced Search” หรือตัวช่วยในการค้นหาขั้นสูง ที่เราสามารถใช้คำคีย์เวิร์ดในการค้นหางานที่ต้องการได้ เพียงแค่เราเลือกใส่ข้อความเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้งบริษัท ชื่อบริษัท ตำแหน่งงาน ประเภทงานที่ต้องการ ฯลฯ2. สมัครงานทุกตำแหน่ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีเราไม่ควรที่จะสมัครงานทุกตำแหน่งที่เจอ เพียงเพราะคิดว่าลองสมัครไปเถอะเผื่อได้ เราควรที่จะเลือกสมัครตำแหน่งที่เราต้องการหรือมีคุณสมบัติตรงกับที่บริษัทต้องการ ซึ่งจะมีโอกาสในการเรียกไปสมัภาษณ์มากกว่า การส่งเรซูเม่ไปแบบสุ่มๆ หรือทุกตำแหน่งงาน โดยก่อนที่เราจะลงมือการสมัครนั้นควรที่หางานและพิจารณางานนั้นให้ดีเสียก่อนว่าเรามีคุณสมบัติตรงหรือไม่ และเราอยากทำจริงๆ หรือเปล่า3. อย่าหยุดสมัครงาน ขณะที่รอผลสัมภาษณ์งานถึงแม้ว่าเราจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์มาแล้วหลายบริษัท แต่ในเมื่อผลการสมัภาณ์ยังไม่ออกมา เราก็ไม่ควรที่จะรออยู่เฉยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้งานนั้นหรือเปล่า ดังนั้นระหว่างที่กำลังรอผลอยู่นั้นเราก็สามารถที่จะสมัครงานไปได้เรื่อยๆ เพราะบางทีเราอาจจะได้งานที่ดียิ่งกว่าก็ได้4. ทำเรซูเม่ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่เลือกนอกจากที่เราจะต้องดูคุณสมบัติของงานแล้วว่าตรงกับที่เรามีหรือไม่นั้น อีกหนึ่งสำคัญก็คือการทำเรซูเม่อย่างไรให้มีความโดดเด่น มีความน่าสนใจ ดังนั้นเราควรที่จะต้องปรับแต่ง/แก้ไขเรซูเม่ให้มีความเหมาะสมกับงานที่สมัครไปด้วย5. ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ประสบการณ์ทำงานทั้งหมดบางคนอาจจะมีประวัติการทำงานที่ค่อนข้างยาวหรือผ่านงานมาแล้วหลายที่ด้วยกัน ดังนั้นเราไม่ควรที่จะใส่ไปทั้งหมด เพราะอาจจะทำให้นางจ้างหรือบริษัทที่เราไปสมัครรู้สึกว่าเราไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครอยู่ก็อาจจะเป็นไปได้ เราควรที่คัดแต่ประสบการณ์การทำงานที่สำคัญหรือตรงกับงานที่เรากำลังจะสมัครนี้6. แต่งตัวให้เหมาะสมกับงานความประทับใจแรกของการสัมภาษณ์งานก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ในเรื่องอื่นๆ เลย และส่วนประกอบหลักที่สำคัญก็คือ การแต่งกาย ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเราควรที่จะเช็คความเรียบร้อยของการแต่งกายด้วยว่าเหมาะสมกับตำแหน่งที่เราไปสมัครมาหรือเปล่า ที่สำคัญต้องแต่งออกมาแล้วดูเหมือนอาชีพด้วยนะ7. เป็นตัวของตัวเอง (เปิดเผยออกมาเลย)ในเวลาสัมภาษณ์งาน เราควรที่จะต้องเป็นตัวของตนเองให้ได้มากที่สุด เพราะว่านายจ้างเขาต้องการทราบว่าเขาจะสามารถคาดหวังอะไรได้จากเราบ้าง ดังนั้นเราควรที่จะต้องแสดงความจริงใจและเป็นต้วเอง รอยยิ้มแบบปลอมๆ และคำตอบแบบให้ผู้ฟังต้องการจ้างเรานั้นก็ควรที่จะลดลงไปบ้าง8. พูดถึงทักษะการทำงานของเราเป็นสิ่งที่ดีเมื่อนายจ้างถามคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์งานอยู่นั้น ให้เราถ่ายทอดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานที่มีออกมาให้ได้มากที่สุด รวมถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เคยเจดในการทำงานมาด้วย หรือวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เคยประสบมาด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้นายจ้างเห็นถึงวิธีการทำงานของเรา และสนใจที่จะจ้างเราในที่สุด9. อย่าพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายจ้างเดิมในความเป็นจริงข้อผิดพลาดหลักๆ ในการสัมภาษณ์งานที่พบมากที่สุดก็คือ การที่เราพูดถึงนายจ้างเดิมในแง่มุมที่ไม่ดีหรือพูดสิ่งที่ไม่ดีออกมาเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้พูดถึงข้อดีเลย และนี่ก็จะทำให้เราสัมภาษณ์งานไม่ผ่านในทันที10. การสมัครงานที่เดิมมากกว่า 1 ครั้งไม่ใช่เรื่องผิดไม่เป็นอะไรเลยที่เราจะเลือกสมัครงานในฝันของตัวเองหลายๆ ครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการตอบกลับจากบริษัทที่เราต้องการ แต่มันกลับเป็นสิ่งช่วยผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสมบัติของเราตรงตามความต้องการของนายจ้างมากยิ่งขึ้นเมื่อเรารู้เทคนิคดีๆ เหล่านี้แล้วก็อย่าลืมนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเรามากที่สุด ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ.. ? ขอบคุณข้อมูลดีๆ : www.campus-star.com/
อ่านเพิ่มเติม
เผยผลสำรวจเทรนด์อาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในปี 66 “สายไอที” มาแรง เงินเดือนสูงสุดแตะ 2 แสน ชี้ “Cyber Security” เป็นสายงานที่ทั่วโลกต้องการและยังขาดแคลน ขณะที่ “YouTuber และ Influencer” คืออาชีพทำเงินมหาศาลของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ส่วน “ขายของออนไลน์” และ "ด้านการแพทย์" ยังไปได้ดี สายงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อย่าง “แอร์โฮสเตส-สจ๊วต-นักบิน-พนักงานโรงแรม-มัคคุเทศก์” กลับมาบูมอีกครั้ง “สตาฟอีเวนต์-สตาฟคอนเสิร์ต” อยู่ในช่วงโกยเงิน ด้าน “วิศวกรพลังงานทดแทน” กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น แต่ “พนักงานธนาคาร-ครูเอกชน-สายเมตาเวิร์ส” ต้องทำใจ เพราะอยู่ในช่วงขาลง แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะยังไม่กระเตื้องมากนัก โดยคาดว่าจะขยายตัว 3.0-3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดแรงงานของไทยในปีหน้ายังเติบโตแบบเปราะบาง ส่งผลให้หลายอาชีพเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แต่ในทางกลับกันมีหลายสาขาอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก บริษัทต่างๆ พากันเสนอค่าตอบแทนในอัตราสูงลิ่วเพื่อแย่งชิงตัวหลายคนคงอยากรู้ว่าในปีหน้า อาชีพไหนรุ่ง? อาชีพไหนร่วง? จะได้ปรับตัวให้สามารถอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ จากการตรวจสอบพบว่า อาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการอย่างมากในปีหน้านั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอาชีพในสายไอที บริการ การท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย 1.UX Designer (User Experience Designer) หรือนักออกแบบหน้าแอปพลิเคชัน ถือเป็นอาชีพมาแรงทางด้านไอทีอีกอาชีพหนึ่ง เพราะเมื่อแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การออกแบบหน้าแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวก หรือเกิดความประทับใจต่อแอปพลิเคชันนั้นๆ จึงเป็นอาชีพซึ่งเป็นที่เป็นที่ต้องการของตลาด คนที่จะทำงานเกี่ยวกับ UX Designer แม้จะไม่จำเป็นต้องจบเฉพาะทางแต่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการแก้ปัญหา 2.Data Analyst (DA) หรือนักวิเคราะห์ข้อมูล เป็นงานที่นำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ เช่น การหาข้อมูลธุรกิจเชิงลึก (Business Insight) เพื่อนำไปสนับสนุนการตัดสินใจ ต่อยอดในแผนกลยุทธ์ (Strategy) หรือแผนงานต่อๆ ไปตามความต้องการของลูกค้า โดย Data analytic เน้นการนำข้อมูลมาหา insight เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค แล้วนำมารายงานผ่าน Data report, Data dashboard ให้องค์กรเข้าใจข้อมูลง่ายขึ้น โดย Data Analyst เป็นงานที่ต้องอาศัยสัญชาตญาณทางธุรกิจ (Business Sense) ค่อนข้างมาก เพราะต้องเจอกับข้อมูล ความต้องการ และโจทย์ที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา 3.Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลคืออาชีพที่กำลังมาแรงและเป็นที่ต้องการในโลกของการทำงานยุคใหม่ การทำงานหลักๆ จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาพัฒนาเป็นโมเดล (Model) หรือเครื่องมือ (Tools) ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ ช่วยทำนายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยในการตัดสินใจ หรือการวางกลยุทธ์ขององค์กร เช่น สร้างระบบซื้อขายของออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการในตลาดทุกภาคส่วน 4.Edge Computing หรือผู้ดูแลระบบประมวลผล เป็นหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ โดย Edge Computing คือการประมวลผลที่โอนถ่ายศูนย์กลางการทำงานไปที่ขอบของเครือข่ายและนำพลังประมวลผลเข้ามาอยู่ใกล้กับข้อมูลให้มากที่สุด สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชัน การใช้บังคับเครื่องจักร แอปพลิเคชันในรถยนต์ไฟฟ้า หรือการมอนิเตอร์ต่างๆ 5.Cyber Security หรือวิศวกรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และยังอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าความเสียหายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 World Economic Forum คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกว่าจะสูงถึง 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 15% โดยอาชีพ Cyber Security มีหน้าที่หลักคือ คอยเฝ้าระวัง ควบคุม ปกป้องข้อมูล โปรแกรม เครือข่าย อุปกรณ์จากการถูกขโมยและโจมตีข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นจึงต้องมีทักษะที่ครอบคลุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อจะได้รักษาความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.E-commerce ค้าขายออนไลน์ เป็นอาชีพที่บูมมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม มีข้อดีคือไม่จำกัดวุฒิ สามารถสร้างรายได้อย่างไม่กำจัด และมีฐานลูกค้ากว้างมากทั้งในและต่างประเทศ สามารถขายผ่านสื่อออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ facebook อินสตาแกรม Tiktok หรือแอปชอปปิ้งออนไลน์ต่างๆ 7.YouTuber และ Influencer หรือนักโฆษณาและรีวิวสินค้า เป็นหนึ่งในอาชีพทำเงินที่สร้างรายได้มหาศาลให้คนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เช่นกัน รายได้ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และความขยันเป็นหลัก ขยันทำคอนเทนต์ ขยันลงคลิป เพื่อสร้างผู้ติดตาม เหมาะสำหรับคนที่มีทักษะในการพูดและการขาย มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ สร้างจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกจากนั้น รายได้ของเหล่า Youtuber และ Influencer ยังขึ้นอยู่กับความโด่งดังของบุคคลนั้นด้วย เพราะนอกจากจะมีรายได้จากเงินค่าโฆษณาที่เจ้าของแพลตฟอร์ม เช่น Youtube จ่ายให้แล้ว พวกเขายังมีรายได้จากการจ้างไปออกอีเวนต์ โชว์ตัว ไลฟ์สดในแพลตฟอร์มของตนเอง ซึ่งเรียกได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายงานนี้นั้นมีรายได้เทียบชั้นดารา นักแสดง หรือเซเลบในวงการบันเทิงเลยทีเดียว 8.Marketing Analyst หรือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์การตลาด ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากการวิเคราะห์ตลาดจะช่วยทำให้สามารถวางแผนการตลาดได้ดี และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น เบื้องหลังความสำเร็จของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาดล้วนเกิดจากการวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญ เช่น ลูกค้า คู่แข่ง ซึ่งการจะวิเคราะห์ตลาดได้นั้นจะต้องเก็บข้อมูลการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อาชีพนี้ต้องเข้าใจทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและด้านการตลาด 9.Customer Service หรือพนักงานบริการลูกค้า เช่น พนักงานดูแลลูกค้า Call Center เป็นสายงานที่ไม่ต้องกลัว Ai มาแย่งงาน เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกค้ายังอยากคุยกับพนักงานที่เป็นคนมากกว่าระบบตอบรับอัตโนมัติ คนที่จะรุ่งในสายงานด้านการบริการลูกค้าต้องเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์เก่ง รักงานบริการ ชอบทำงานกับคน และมีเอเนอร์จีบวกอยู่เสมอ 10.อาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าในปี 2566 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น นักบิน แอร์โฮสเตส สจ๊วต ซึ่งทำงานในสายการบินต่างๆ พนักงานโรงแรม มัคคุเทศก์ ตลอดจนภาคการขนส่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และอาจถึงขั้นขาดแคลน ยิ่งถ้านักท่องเที่ยวจีนกลับมา เชื่อว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2566 จะกลับมาอย่างมหาศาล จึงถือว่าในปีหน้าอาชีพด้านการท่องเที่ยวจะกลับมารุ่งอย่างแน่นอน 11.Financial Manager หรือผู้บริหารการเงิน มีหน้าที่จัดการวางแผนในเรื่องของการเงินในบริษัทใหญ่ๆ หรือในธนาคาร เป็นคนที่คอยดูแลเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของบริษัทเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางในด้านเศรษฐศาสตร์ มีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้ความสามารถในการทำงานเป็นทีม 12.งานด้านการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ จิตแพทย์ นักกายภาพบำบัด เป็นอาชีพที่ไม่มีทางตกงานอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันแม้มนุษย์เงินเดือนจะไม่ป่วยหนักแต่ก็มักเป็นโรคฮิตอย่างออฟฟิศซินโดรม บ้างมีภาวะเครียดทำให้เป็นโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรค imposter syndrome จากสภาพสังคมที่กดดันมากขึ้น สายงานนี้จึงเป็นที่ต้องการและค่อนข้างขาดแคลน 13.วิศวกรด้านพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เป็นสาขาอาชีพซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากวิกฤตพลังงานที่เกิดจากผลกระทบของสงครามระว่างประเทศ และปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไปกำลังร่อยหรอลงทุกที ทำให้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนมากขึ้น วิศวกรด้านนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาด 14.งานสตาฟอีเวนต์ และสตาฟคอนเสิร์ต ในปี 2566 เป็นปีที่จะมีการจัดงานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตกันอย่างคึกคัก หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลอนุญาตให้มีการจัดงานที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตของศิลปินต่างๆ ที่ถูกยกเลิกหรือเลื่อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสามารถกลับมาจัดได้ อีเวนต์ และคอนเสิร์ตที่อั้นมานานจึงพาเหรดกันจัดงานแบบติดๆ ซึ่งนอกจากครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ที่สร้างสรรค์งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตแล้ว ตำแหน่งงานซึ่งเป็นที่ต้องการจำนวนมากคือทีมสตาฟ ซึ่งงานสตาฟนั้นแม้จะเป็นงานพาร์ตไทม์ที่จ้างกันเป็นจ๊อบ จ่ายค่าจ้างเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่ก็จัดว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดีทีเดียว ส่วนอาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการน้อยลงและมีแนวโน้มจะถูกปรับลดในปี 2566 ได้แก่ 1.พนักงานธนาคาร เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาทำธุรกรรมการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้นและมีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด โดยการทำรายการด้านการเงิน ไม่ว่าจะรับเข้า หรือจ่ายออก แทบทุกอย่างทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน บัตรเครดิต/บัตรเดบิต พร้อมเพย์ ทำให้การบริการโดยพนักงานซึ่งอยู่ประจำธนาคารสาขาต่างๆ มีความจำเป็นน้อยลง ส่งผลให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธนาคารต่างๆ พากันประกาศปิดสาขาและเลิกจ้างพนักงานไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปี 2566 แนวโน้มก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป 2.สายงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือเมตาเวิร์ส (metaverse) เนื่องจากที่ผ่านมา เมตาเวิร์สยังไม่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ใช้บริการมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นเทคโนโลยีที่มาเร็วเกินไป ยังไม่ถึงเวลา ต้องรออีก 3-4 ปี หรืออาจต้องทบทวนว่าเมตาเวิร์สควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ล่าสุด เมื่อเดือน พ.ย.2565 มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก ในฐานะซีอีโอบริษัท Meta เจ้าของโปรเจกต์ใหญ่ Metaverse ได้ประกาศปลดพนักงานถึง 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของบริษัท โดยเขายอมรับความผิดพลาดในการตัดสินใจลงทุนและชี้ว่าปัญหาขณะนี้เกิดจากตลาดโฆษณาที่อยู่ในช่วงขาลง 3.พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้มากขึ้น จึงอาจมีการปรับลดพนักงานโรงงานลง ขณะเดียวกัน พนักงานเหล่านี้ต้องหันมาพัฒนาทักษะในการบังคับหุ่นยนต์มากขึ้น อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ลูกจ้างโรงงานยังพอใจชื้นได้บ้าง เนื่องจากจากการสำรวจพบว่านายจ้างมากกว่าครึ่ง คือ 53% ของนายจ้างในไทยยังไม่มีนโยบายในการปรับเปลี่ยนกรอบอัตรากำลังพนักงานในปี 2566 และนายจ้างราว 22% ต้องการเพิ่มจำนวนพนักงาน ในขณะที่มีเพียง 4% ที่ระบุว่าจะลดจำนวนพนักงานลง 4.ครูโรงเรียนเอกชน เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ยืดเยื้อส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว กระทบต่อทุกธุรกิจ แต่ที่หนักที่สุดคือภาคการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน เพราะผู้ปกครองของนักเรียนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาการว่างงาน หรือรายได้ลดลงจึงไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้จึงย้ายเด็กไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแทน ส่งผลจำนวนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอกชนลดลงอย่างมาก ซึ่งในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศมีเด็กนักเรียนลดลงเกือบ 100,000 คน ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาตลอด 3 ปีผ่านมา โรงเรียนเอกชนทยอยปิดกิจการลง โดยมีการประกาศปิดโรงเรียนไปแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ เมื่อโรงเรียนเอกชนปิดตัวลง ครูโรงเรียนเอกชนก็ถูกเลิกจ้างตามไปด้วย ขอขอบคุณข่าวสารและข้อมูลจาก www.mgronline.com
อ่านเพิ่มเติม