ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาวะผู้นำที่ศึกษาจิตวิทยาการทำงานมากว่า 30 ปี และให้คำปรึกษาซีอีโอองค์กรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ เผยว่าบุคลิกภาพที่โดดเด่นที่สุดในการทำงานคือ แอมบิเวิร์ต (Ambivert)โดยนี่เป็นคนที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างคนเก็บตัว (Introvert) และคนเปิดเผย (Extrovert) ทำให้สามารถใช้จุดแข็งของทั้งสองด้านได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพแอมบิเวิร์ตมักเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย พวกเขามีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการสร้างเครือข่ายรอบตัวเพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ความสามารถในการปรับตัวและเข้าใจผู้อื่นทำให้พวกเขามักได้รับการยอมรับและสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน8 สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณเป็นแอมบิเวิร์ต ได้แก่ การเลือกเข้าสังคมอย่างมีเป้าหมาย โดยไม่ใช่แค่เข้าร่วมทุกงานแต่เลือกเฉพาะโอกาสที่สอดคล้องกับเป้าหมาย คุณค่า และระดับพลังงานของตนเอง ทำให้สามารถทุ่มเทและมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ในทุกการปฏิสัมพันธ์พวกเขายังใช้เวลาอยู่คนเดียวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่พักผ่อนแต่ใช้เวลานั้นในการประมวลผล สะท้อนความคิด และวางแผน ทำให้กลับมาพร้อมกับมุมมองและไอเดียใหม่ๆ ที่สดใหม่อยู่เสมอนอกจากนี้ ยังสามารถสื่อสารได้ดีทั้งกับคนเก็บตัวและคนเปิดเผย ปรับตัวเข้ากับพลังงานและความชอบของแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติจุดเด่นอีกประการของแอมบิเวิร์ตคือการรู้จังหวะในการนำและถอย สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีแต่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่ควรให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความสามารถ พวกเขาพูดเพื่อสร้างความก้าวหน้าไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย ต่างจากคนเปิดเผยที่มักพูดเมื่อไม่ควรพูด และคนเก็บตัวที่มักไม่พูดเมื่อควรพูดสำหรับคนเปิดเผยที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นแอมบิเวิร์ต ควรฝึกทักษะการอยู่กับความเงียบและการใคร่ครวญมากขึ้น โดยเริ่มจากการนับ1-3 ก่อนตอบในการสนทนา เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและทำให้คำตอบของเรามีความรอบคอบมากขึ้นนอกจากนี้ ยังสามารถฝึกสังเกตการณ์แบบเงียบๆ ในที่ประชุมหรือกลุ่มสังคม สังเกตว่าใครพูด ใครฟัง และการตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาอยู่คนเดียววันละ30 นาทีเพื่อทบทวนความคิดและวางแผนขั้นตอนต่อไปส่วนคนเก็บตัว สามารถพัฒนาตัวเองโดยการเตรียมประเด็นที่ต้องการพูดในที่ประชุมล่วงหน้า1-2 ประเด็น และตั้งใจว่าจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย วิธีนี้จะช่วยลดความกังวลในการพูดต่อหน้าผู้อื่นโดยหลังจากพบปะผู้อื่นควรติดตามผลด้วยการส่งอีเมลหรือข้อความ โดยอ้างอิงถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันและขอบคุณสำหรับเวลา และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาพักผ่อนอย่างมีเป้าหมายทุกวันเพื่อวิเคราะห์การมีปฏิสัมพันธ์และวางแผนสำหรับวันต่อไป“การเป็นแอมบิเวิร์ตช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความคิดภายในและการมีปฏิสัมพันธ์ภายนอกได้อย่างสมดุลและมีกลยุทธ์” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว พร้อมชี้ว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามักประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีบุคลิกแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพราะในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและใช้จุดแข็งที่หลากหลายคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มา: https://thestandard.co/ambivert-personality-successful-business-leaders/
อ่านเพิ่มเติมทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน ตามรายงานล่าสุดจากLinkedIn แพลตฟอร์มหางานชื่อดังที่เพิ่งเปิดเผยรายงาน ‘Skills on the Rise 2025’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม จนทำให้Andrew McCaskill ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ LinkedIn กล่าวว่า การเรียกทักษะเหล่านี้ว่าSoft Skills นั้นล้าสมัยไปแล้ว“เราไม่ให้ความสำคัญกับทักษะเหล่านี้เท่าที่ควรด้วยการเรียกมันว่า Soft Skills” McCaskill กล่าว “ทักษะที่เน้นความเป็นมนุษย์เหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงในแง่ของวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับทักษะที่คุณจะต้องใช้และพัฒนาในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ”ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังโควิด พบว่า7 จาก10 ทักษะยอดนิยมในการศึกษาเป็นทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่หลายของAI ซึ่งครองอีก 2 อันดับใน10 อันดับแรกMcCaskill กล่าวว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่AI เลียนแบบได้ยากกว่าการศึกษานี้วัดจำนวนผู้ใช้LinkedIn ที่เพิ่มทักษะในโปรไฟล์ของตน สัดส่วนของสมาชิกที่ได้รับการจ้างงานที่มีทักษะนั้น และจำนวนครั้งที่ทักษะถูกระบุในประกาศรับสมัครงาน จากนั้นจึงเปรียบเทียบยอดรวมเหล่านั้นกับปีก่อนหน้าทักษะการบรรเทาความขัดแย้ง (Conflict Mitigation) ขึ้นแท่นเป็นทักษะที่มาแรงที่สุด ตามมาด้วยความสามารถในการปรับตัว (Adaptability), ความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking), การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking), การขายโดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหา (Solution-Based Selling), การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนลูกค้า (Customer Engagement and Support) และการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Management)ปัจจัยที่ทำให้ทักษะการบรรเทาความขัดแย้งขึ้นมาเป็นที่ต้องการมากที่สุดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน การศึกษาล่าสุดจากHarris Poll และExpress Employment Professionals ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรม ‘เป็นพิษ’ (Toxic) ในสำนักงานกำลังเพิ่มขึ้น และ30% ของผู้หางานในสหรัฐฯ รายงานว่าเพื่อนร่วมงานมีท่าทีชอบโต้เถียงและปะทะคารมกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง3 ปีก่อนMcCaskill เชื่อว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งในสังคมที่มีมากขึ้น การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศหลังโควิด และความแตกต่างระหว่างคนต่างรุ่น เขากล่าวว่า “คนที่สามารถรักษาความสงบท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง คนที่รักษาความเป็นมืออาชีพได้แม้ในช่วงวิกฤต คนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้เปรียบในตลาดแรงงาน”สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเอ็กซ์โทรเวิร์ต การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ทักษะอย่างการพูดในที่สาธารณะอาจฟังดูน่ากลัว แต่McCaskill แนะนำว่า ควรมองที่การนำเสนอSoft Skills ในแบบที่เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน“ไม่มีใครบอกว่าคุณต้องออกไปเปิดตัวเองแบบสุดขั้ว แม้คุณจะเป็นคนเก็บตัว คุณก็ยังสามารถหาวิธีสื่อสารความกระตือรือร้นในแบบของคุณได้” อย่างเช่นหลังการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะเงียบหาย คุณอาจส่งอีเมลขอบคุณสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสนใจในตำแหน่งงานนั้นสำหรับการแสดงSoft Skills ในการสมัครงานMcCaskill แนะนำให้ระบุทักษะเหล่านี้ลงในเรซูเมและเตรียมตัวอย่างเฉพาะสำหรับการสัมภาษณ์ อีกทั้งควรสามารถจับสัญญาณเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังประเมินSoft Skills ของคุณ“เมื่อพวกเขาถามว่า ‘เล่าให้ฟังเกี่ยวกับครั้งที่คุณแก้ปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่’ พวกเขากำลังประเมินความสามารถในการคิดนอกกรอบและสร้างแนวทางใหม่ๆ ของคุณจริงๆ” เขากล่าวในยุคที่AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์กลับยิ่งทวีความสำคัญ และกลายเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่อย่างแท้จริงที่มา: https://thestandard.co/human-skills-negotiation-2025/
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในหลายด้านของชีวิตประจำวัน หนึ่งในนั้นคือกระบวนการหางานและการสมัครงาน รายงานแนวโน้มตลาดปี2025 จากบริษัทจัดหางานCareer Group Companies ระบุว่า ประมาณ65% ของผู้สมัครงานใช้AI ในหลายขั้นตอนของกระบวนการสมัครงาน ได้แก่19% ใช้AI ในการเขียนประวัติย่อ (resume)20% ใช้ในการเขียนจดหมายสมัครงาน9% ใช้ในการสร้างภาพถ่ายโปรไฟล์7% ใช้ในการฝึกสัมภาษณ์5% ใช้ในการสร้างตัวอย่างผลงาน5% ใช้ในการให้คำแนะนำด้านอาชีพนายจ้างตั้งข้อสงสัย การใช้AI ช่วยสมัครงานผิดจริยธรรมไหม?จิลเลียน ลอว์เรนซ์ (Jillian Lawrence) รองประธานอาวุโสของCareer Group Companies เปิดเผยมุมมองกับCNBC Make It ว่า เธอได้เห็นการใช้งานAI พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา และคิดว่าวัยทำงานยุคนี้กำลังมองหาใช้วิธีการสมัครงานที่ชาญฉลาดขึ้น ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะสนใจหรือลองใช้AI มาช่วยในขั้นตอนการสมัครงานอย่างไรก็ตาม การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ จากการศึกษาของZety ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอาชีพและการหางาน (เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว) ชี้ว่า42% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลมองว่า การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางจริยธรรม ความกังวลเหล่านี้เพิ่มขึ้นเมื่อAI ถูกนำมาใช้ในการประเมินทักษะของผู้สมัครงาน โดยมากกว่าสองในสามของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้AI ในด้านนี้จัสมิน เอสคาเลรา (Jasmine Escalera) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจากZety สะท้อนความเห็นว่า ความกังวลเหล่านี้มีเหตุผล "หากคุณใช้มันเพื่อเสริมทักษะของคุณหรือแสดงทักษะที่คุณไม่มีจริง ๆ นั่นเป็นปัญหา โดยพื้นฐานแล้วหากคุณใช้เอไอเพื่อแสดงทักษะนั้น มันก็แปลว่าคุณอาจไม่สามารถทำงานนั้นได้จริงๆ"เปิดคำแนะนำการใช้AIที่ดีที่สุดสำหรับผู้สมัครงานหากผู้สมัครงานใช้ AI มาช่วยเขียนเรซูเม่หรือจดหมายสมัครงานต่างๆ ก็ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้AI สร้างขึ้น ผู้สมัครควรใช้เวลาในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่AI สร้างขึ้นนั้น เป็นข้อมูลของผู้สมัครจริงๆ ที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับทักษะและความสามารถของผู้สมัครเนื่องจากAI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเกินจริงได้"AI อาจสร้างข้อมูลที่มีความซ้ำซ้อนและไม่ถูกต้องเสมอไป สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง ผู้สมัครงานจะต้องแก้ไขใหม่ รวมถึงตรวจทานเนื้อหาในใบสมัครซ้ำหลายๆ รอบเพื่อความถูกต้องครบถ้วนที่สุด"คำแนะนำนี้สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอย่าง เจเรมี ชิเฟลิง (Jeremy Schifeling) ผู้เขียนหนังสือ "Career Coach GPT" ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้ AI ในกระบวนการหางาน เขาแนะนำให้ผู้สมัคร "ตรวจสอบ ตรวจสอบ และตรวจสอบ" ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ AI สร้างขึ้น"สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือการนั่งอยู่ในการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้วถูกถามเกี่ยวกับประวัติย่อที่ AI สร้างขึ้นแบบผิดๆ และคุณตอบไม่ได้ (เพราะลืมตรวจทานข้อมูล) จนอาจทำให้อับอายในระหว่างสัทภาษณ์"นอกจากนี้ เอสคาเลราให้คำแนะนำอีกว่า ควรใช้AI เพื่อช่วยปรับแต่งใบสมัครให้ตรงกับคำอธิบายลักษณะงาน เพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจง่ายขึ้น และอาจรวมถึงการใช้AI ช่วยคัดกรองศัพท์เทคนิคเฉพาะของสายงานนั้นๆหรือใช้มันช่วยการตรวจสอบไวยากรณ์ ฯลฯ แต่นอกเหนือจากนั้นคุณควรเขียนจดหมายสมัครงานและเรซูเม่ด้วยตัวเอง"ตัวคุณคือพื้นฐาน และAI เข้ามาเพื่อเสริมพื้นฐานที่คุณมีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าใช้มันเพื่อทำงานให้คุณทั้งหมดทุกอย่าง"ขณะที่ ลอว์เรนซ์เตือนให้วัยทำงานคนรุ่นใหม่ระวังการอัปโหลดข้อมูลส่วนบุคคลเข้าสู่โปรแกรม AI เพราะมันอาจถูกใช้เกินวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะอาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวได้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับทั้งลอว์เรนซ์และเอสคาเลราคือ ปรากฏการณ์นี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนมองว่าการใช้AI ในกระบวนการสมัครงานจะยังคงแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทุกคนจะใช้AI ทำเรื่องนี้กันอย่างปกติ แต่สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีใช้มันให้ผลลัพธ์ใบสมัครงานออกมาดีที่สุด ไม่ใช่ใช้มันทำแทนทั้งหมดทุกขั้นตอนที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1169965
อ่านเพิ่มเติม