1. สื่อสารได้ดี คนยุคใหม่ถนัดใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร แต่อาจไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแบบตรง ๆ เท่าใดนัก ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนในการสื่อสารไปอย่างไม่น่าเชื่อ และการทำงานในองค์กรย่อมหนีไม่พ้นการติดต่อสื่อสารกับผู้คนหลากหลายบทบาทหน้าที่และตำแหน่งการงาน คนที่จะประสบความสำเร็จในองค์กรก็คือคนที่สื่อสารได้ดี มีทักษะในการเจรจาอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี2. มีทัศนคติเชิงบวก คนที่มีทัศนคติเชิงบวกย่อมเป็นที่ต้อนรับของคนทุกกลุ่ม องค์กรเองก็ต้องการคนที่มองโลกแง่ดี มองเห็นโอกาสในปัญหาอยู่เสมอ และเข้าใจผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่แล้วเวลาปฏิบัติงาน คนกลุ่มนี้มักจะทำได้ดีกว่าคนที่มีทัศนคติด้านลบ เนื่องจากมีใจเปิดกว้าง ไม่ตั้งแง่ก่อนลงมือทำ ไม่ค่อยมีปัญหาขัดแย้งกับใคร และยินดีช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ สามารถประสานงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี3. พร้อมทุกสถานการณ์ เปิดรับโอกาสใหม่ ๆ องค์กรส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่มีความพร้อมอยู่เสมอ และมีใจเปิดรับกับทุกโอกาสใหม่ ๆ ในการทำงาน ทั้งภารกิจใหม่ ๆ ที่ได้รับมอบหมาย วิธีการทำงานใหม่ ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์กร โดยไม่กังวัลต่อภาระหน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ความท้าทาย อุปสรรคปัญหา และความผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ปิดกั้นตัวเองแบบนี้ ก็ย่อมประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าคนที่อยู่แต่ใน Comfort zone อย่างแน่นอน4. ทำงานเป็นทีมได้ ปรับตัวได้ดี งานในองค์กรไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยพนักงานเพียงคนเดียวฉันใด ทีมเวิร์กที่ดีก็เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรพึงปรารถนาฉันนั้น ทีมที่ประสบความสำเร็จต้องการคนที่มีความสามารถ รู้จักบทบาทหน้าที่ และมีความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะผลักดันให้งานเดินหน้าและบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ พนักงานยังต้องปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาอยู่ทุกขณะ พนักงานที่ดีจึงต้องมีความยืดหยุ่นสูง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ และพร้อมรับกับทุกการเปลี่ยนแปลง5. มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความรับผิดชอบสูง ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะในการทำงาน เป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนต้องมีเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน เชื่อว่าพนักงานหลาย ๆ คนมีความรู้เพียงพอ และมีทักษะที่ดีในการทำงานกันอยู่แล้ว แต่อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำงานก็คือความรับผิดชอบ และองค์กรส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการพนักงานที่มีความรับผิดชอบสูง มอบหมายงานอะไรให้ก็ทำงานได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เมื่อมีอุปสรรคปัญหาในการทำงาน พนักงานที่มีความรับผิดชอบสูงก็จะไม่ล้มเลิก และยังคงพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ จนงานสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ6. มีใจรักในงาน และมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าองค์กรไหน ๆ ย่อมพึงพอใจกับการได้ร่วมงานกับคนที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงาน เพราะพนักงานที่มีใจรักในงานที่ทำ และมีเป้าหมายที่จะทำงานให้สำเร็จอยู่เสมอ ย่อมไม่ทำงานแบบขอไปที ทำงานไปวัน ๆ โดยขาด passion จนนำไปสู่การลาออกจากงานในที่สุด นอกจากนี้ คนทำงานที่มี passion มักจะเปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านบวก และความกระตือรือร้นอยู่เสมอ สร้างบรรยากาศการทำงานและภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีพลังและมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต7. สร้างจุดขาย มีความคิดสร้างสรรค์ การแข่งขันขององค์กรธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ได้แข่งขันกันแค่เพียงผลิตสินค้าออกมาเป็นจำนวนมาก ๆ อย่างแต่ก่อนอีกต่อไป สิ่งที่ทุกองค์กรต้องมีก็คือ "จุดขาย" ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ ๆ จึงจะได้เปรียบในเชิงธุรกิจ มีชัยเหนือคู่แข่ง พนักงานยุคใหม่จึงต้องมีคุณสมบัติให้สอดรับกับกลยุทธ์ขององค์กร ด้วยการคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ และคิดต่อยอดจากสิ่งที่องค์กรมีได้8. มีวินัย ตรงต่อเวลา รักษาคำพูด เจ้านายทุกคนชอบลูกน้องที่มีวินัยในการทำงานสูง ตรงต่อเวลา และรักษาคำพูด พูดอะไรไว้หรือสัญญาอะไรก็ต้องทำได้ตามที่พูด คำไหนคำนั้น พนักงานที่ดีต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง รับปากว่าจะทำอะไร จะส่งมอบงานแบบไหน เมื่อไหร่ ก็ต้องสร้างผลลัพธ์ได้ตามที่ตกลงกันไว้อยู่เสมอ9. สุดยอดนักแก้ไขปัญหา อีกหนึ่งคุณสมบัติที่องค์กรต้องการในตัวพนักงาน คือ การกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุ และคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ได้อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องสามารถคิดหาทางเลือกและทางออกได้มากกว่า 1 ทาง พร้อมตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดให้องค์กรได้อีกด้วย10.สุดยอดนักวางแผน งานทุกงานที่จะประสบความสำเร็จได้ดี ต้องมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและมีกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ องค์กรจึงต้องการคนที่สามารถกำหนดเป้าหมายในการทำงาน และสามารถวางแผนงานจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ทั้งกระบวนการและขั้นตอนการทำงาน การประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การทำงานเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่มา : www.jobsdb.com
อ่านเพิ่มเติม
เงินเดือน คืออะไร เงินเดือน คือ ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน เพื่อตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบ จูงใจให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการใช้ความรู้ความสามารถทำงานให้กับองค์กรได้อย่างเต็มที่เงินเดือน กับ ค่าตอบแทน ต่างกันอย่างไร อย่างที่อธิบายไปตอนต้นว่า เงินเดือน คือค่าจ้างที่ผู้ปฏิบัติการได้รับเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งเงินเดือนนี้คือส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน ที่เราพึงจะได้รับจากบริษัทนั่นเอง เพราะค่าตอบแทนคือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อจูงใจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างความเท่าเทียมกันในองค์กร และสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ คือค่าตอบแทนคงที่ ประกอบด้วย เงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ ค่าครองชีพ โบนัสคงที่ เบี้ยประจำ (เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าตำแหน่ง ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น) และค่าตอบแทนอื่น ๆ ในรูปแบบของตัวเงินที่จ่ายให้พนักงานในอัตราที่คงที่ มักมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของเราตามคุณค่าของงานค่าตอบแทนผันแปร ประกอบด้วย ค่าเบี้ยเลี้ยง เงินรางวัล ค่าคอมมิชชั่น โบนัสตามผลงาน และค่าตอบแทนอื่น ๆ เพื่อตอบแทนที่พนักงานทำงานที่มอบหมายจนสำเร็จลุล่วง มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นผลงานและประสิทธิภาพในการผลักดันผลสัมฤทธิ์ของงานสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ มีทั้งที่อยู่ในรูปแบบของตัวเงิน และสิทธิประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล วันลา ที่จอดรถ การท่องเที่ยวประจำปี การอบรมเพิ่มทักษะฝีมือ เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้สึกรักในองค์กรของพนักงาน ทั้งนี้ สัดส่วนค่าตอบแทนทั้งหมดที่เราได้รับ จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละองค์กร แต่ละตำแหน่ง เช่น ในตำแหน่งที่ต้องการคนมีศักยภาพสูงเข้าทำงาน จะมีฐานเงินเดือนสูงกว่าสวัสดิการและโบนัส เพื่อสร้างความรู้มั่นคงทางรายได้ให้กับพนักงาน ส่วนตำแหน่งงานที่ให้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สูงกว่าเงินเดือน จะเน้นสร้างความรัก ความผูกพัน และความภักดีของพนักงานที่มีต่อองค์กร เหล่านี้เป็นต้นเงินเดือนหรือค่าตอบแทน มีความสำคัญอย่างไรต่อคนทำงาน นอกจากเงินเดือนจะเป็นสิ่งที่บริษัทมอบให้กับพนักงานเพื่อตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ แล้ว เงินเดือนหรือค่าตอบแทน ยังมีความสำคัญด้านอื่น ๆ ต่อคนทำงานด้วย ดังนี้1.เป็นแรงจูงใจในการทำงาน เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เงินเดือน และค่าตอบแทน สร้างแรงจูงใจในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยเงินเดือนเป็นเงินที่เราจะได้รับเป็นประจำทุกเดือน ช่วยสร้างความมั่นคงที่เรามีต่อบริษัท และแสดงให้เห็นว่าบริษัทเล็งเห็นในศักยภาพการทำงานของเราจึงจ่ายผลตอบแทนให้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ส่วนค่าตอบแทน เช่น ค่า Incentive ค่า Commission ช่วยจูงใจให้เราอยากพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำผลงานได้ดี ยิ่งได้ค่าตอบแทนสูง เป็นต้น2.ทำให้คนรู้สึกจงรักภักดีต่อองค์กร การที่บริษัทจ่ายเงินเดือนหรือค่าตอบแทนอย่างสมเหตุสมผล มีความยุติธรรม ครอบคลุม และเพียงพอ จะทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจ รู้สึกว่าบริษัทมีความเข้าใจ ใส่ใจ และห่วงใยพนักงานทุกคน ส่งผลให้พนักงานรู้สึกจงรักภักดีต่อองค์กร ไม่มีความรู้สึกอยากลาออก และอยากทำงานร่วมกับบริษัทนี้ไปนาน ๆ3.มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อพนักงานแต่ละคนได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและเพียงพอต่อความต้องการในการดำเนินชีวิต มีสวัสดิการรองรับ สามารถซัพพอร์ตความต้องการของตนเองและครอบครัวได้ ย่อมส่งผลให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงานเป็นไปในทิศทางที่ดี การทำงานที่ได้รับมอบหมายก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย4.แสดงถึงความมั่นคงและเสถียรภาพของบริษัท การที่บริษัทสามารถซัพพอร์ตเงินเดือนให้พนักงานได้ทุกเดือน และมีค่าตอบแทนให้พนักงานเพิ่มเติม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง มีผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดี มีการวางแผนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้พนักงานมีความเชื่อถือในบริษัทที่ทำอยู่ว่ามีเสถียรภาพที่ดี ค่อนข้างมั่นคง และสามารถทำงานที่นี่ได้ในระยะยาวแล้วถ้างานเพิ่มขึ้น จะขอขึ้นเงินเดือนอย่างไร ในกรณีที่เราประเมินภาระงานของเรากับเงินเดือนแล้ว เห็นว่าไม่สอดคล้องกันจนทำให้เราเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงานเพิ่มขึ้นแต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่มีภาระงานมากขึ้นแต่ไม่มีการขึ้นเงินเดือน การเดินไปปรึกษาหัวหน้างานก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินเข้าไปปรึกษาเลยโดยไม่เตรียมตัวหรือไม่มีหลักการใดรองรับ เพราะนั่นอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเราเองได้ หากตัดสินใจแล้วว่าอยากลองสักตั้ง อยากลองคุยกับหัวหน้างานเรื่องการขึ้นเงินเดือนดูสักครั้ง เรามีวิธีปฏิบัติมาแนะนำให้นำไปปรับใช้ ดังนี้1.ประเมินศักยภาพตนเองเบื้องต้น ก่อนจะเดินไปคุยกับหัวหน้าเรื่องปริมาณงานและเงินเดือน เราต้องประเมินตัวเองเบื้องต้นก่อนว่าเมื่อเริ่มทำงานเรามาทำในตำแหน่งอะไร ขอบเขตงานมีอะไร ได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับตอนนี้ว่าเรายังทำตำแหน่งเดิมไหม มีประสบการณ์อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจแค่ไหน ได้รับคำติชมอะไรจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานบ้าง และตอนนี้เราได้เงินเดือนเท่าไหร่ สมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อประเมินและวิเคราะห์เปรียบเทียบเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้จดบันทึกไว้กันลืมด้วย เพราะข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะนำไปใช้ในการคุยกับหัวหน้าในขั้นตอนต่อไป2.หาจังหวะคุยที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่การประเมินเงินเดือนของแต่ละบริษัท มักจะเริ่มช่วงปลายปี เพราะถือเป็นการประเมินผลงานของเราตลอดทั้งปีเพื่อพิจารณาว่าควรขึ้นเงินเดือนหรือไม่ หรือควรขึ้นเท่าไหร่ จังหวะนี้เองเราสามารถขอเจรจาปรึกษาหัวหน้าได้ อีกจังหวะหนึ่งที่สามารถคุยเรื่องการขึ้นเงินเดือนได้คือ หลังจากเราทำโปรเจกต์ใหญ่สำเร็จลุล่วง หรือมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจของบริษัท ข้อแนะนำอีกหนึ่งอย่าง คือ ควรเลือกช่วงที่หัวหน้าอารมณ์ดี ไม่มีเรื่องตึงเครียด และผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดี รวมไปถึงควรเลือกสถานที่ผ่อนคลาย และบรรยากาศดี ก็จะช่วยให้การพูดคุยราบรื่นขึ้นยิ่งขึ้นได้3.ไม่ควรระบุเงินเดือนที่ต้องการ การระบุจำนวนเงินเดือนที่ต้องการในการเจรจา อาจทำให้เราได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะได้จริง ๆ ก็เป็นได้ ในระหว่างการพูดคุย ควรแสดงให้หัวหน้าเห็นว่าบริษัทจะได้ประโยชน์อะไรจากการขึ้นเงินเดือนให้เรา เพื่อให้หัวหน้าหรือบริษัทเป็นฝ่ายประเมินเงินเดือนที่เราควรจะได้รับจะดีกว่า เพราะจำนวนเงินเดือนเป็นเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้ และบางครั้งบริษัทอาจมอบสวัสดิการอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่าให้เราแทน เช่น ได้วันหยุดเพิ่ม ได้เข้าอบรมหรือเข้าคอร์สเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ได้ไปศึกษาดูงาน ฯลฯ4.สุภาพ นอบน้อม รู้จังหวะ ไม่รีบร้อน อย่าลืมว่าจุดประสงค์หลักของเราคือการเจรจาต่อรองกับหัวหน้าเรื่องการขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่ได้รับ ดังนั้น ควรเลือกใช้น้ำเสียงและจังหวะการพูดที่นอบน้อม เรียบร้อย เป็นเหตุเป็นผล มีความมั่นใจ และค่อยเป็นค่อยไป อาจเริ่มการพูดคุยด้วยความทุ่มเทและผลงานดี ๆ ของเราที่ผ่านมา ภาระงานตอนนี้ของเรามีอะไรบ้าง เรามีความรักในงานที่ทำ ดีใจที่ได้ร่วมงานกับหัวหน้า และการทำงานจะดียิ่งกว่านี้ถ้ามีการปรับขึ้นเงินเดือนของเราให้เหมาะสมกับหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายมา เพราะเราเชื่อว่าเรามีศักยภาพเพียงพอ เป็นต้น แนะนำว่าระหว่างการพูดคุยให้พยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นไปในแง่บวก เพื่อโน้มน้าวให้หัวหน้าคล้อยตามเหตุและผลที่เรานำเสนอไป ควรใช้คำว่า “และ” เพื่อเสริมเหตุผลของเราไปเรื่อยๆ หลีกเลี่ยงการพูดคำว่า “แต่” เพราะอาจทำให้การเจรจาที่กำลังไหลลื่นเกิดสะดุดขึ้นมาได้5.ไม่ควรกดดันรีบขอคำตอบ ไม่ว่าในการเจรจาใด ๆ การคาดคั้นขอทราบคำตอบแบบทันทีทันใดย่อมสร้างบรรยากาศกดดันให้กับคู่สนทนาทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวผู้ที่ขอเจรจาเลย เพราะอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร ในกรณีการขอขึ้นเงินเดือน เราควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เป็นกลาง เป็นการพูดคุยด้วยเหตุและผล โฟกัสแค่เฉพาะเรื่องงาน ไม่มีปัญหาเรื่องส่วนตัวเข้ามาปะปน เช่น ต้องการขึ้นเงินเดือนเพราะมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เป็นต้น และเมื่อเข้าประเด็นเรื่องการขึ้นเงินเดือน ให้จบการสนทนาด้วยการให้หัวหน้าหรือฝ่าย HR เป็นฝ่ายพิจารณาปรับขึ้นตามความเหมาะสม6.เตรียมแผนสำรอง ข้อควรระวังในการขอขึ้นเงินเดือนคือ ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจริงอย่างที่ขอไป หรือจะได้พิจารณาขึ้นเงินเดือนในเร็ววัน เพราะแต่ละบริษัทมีขั้นตอนแตกต่างกัน ช้าบ้างเร็วบ้าง หรือบางทีบริษัทอาจมีเหตุผลที่จะไม่ขึ้นเงินเดือนให้เราตามที่ขอไปก็ได้ ข้อแนะนำคือ หลังจากคุยกับหัวหน้าแล้วควรหมั่นติดตามผล คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอยู่ห่าง ๆ และไม่ควรเดินไปทวงถาม หากผ่านไปเป็นระยะเวลานานยังไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรือได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ ลองขอนัดเจรจากับหัวหน้าอีกครั้ง เสนอตัวเลขใหม่ที่น่าจะตกลงกันได้ หรือเสนอเป็นสวัสดิการอื่นที่จะเอื้อให้เราทำงานได้ดีขึ้นเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่า เงินเดือนคือสิ่งตอบแทนที่เราได้รับจากการปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หากงานเพิ่มขึ้นเราก็สามารถเจรจาเพื่อขอขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับปริมาณงานได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด เพียงแค่เราจำเป็นต้องเลือกโอกาสและช่วงเวลาในการพูดคุยให้เหมาะสม เมื่อทุกอย่างลงล็อก การขอขึ้นเงินเดือนก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
อ่านเพิ่มเติม
การสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้สมัครงานทุกคนต้องเผชิญ บทความนี้จะแนะนำคำถามยอดฮิตที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน พร้อมแนวทางการตอบเพื่อสร้างความประทับใจ1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังหน่อยวัตถุประสงค์: เพื่อทำความรู้จักตัวตนและประสบการณ์ของผู้สมัครแนวทางการตอบ: แนะนำตัวเองโดยย่อ เน้นประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน2. ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแรงจูงใจของผู้สมัครแนวทางการตอบ: พูดถึงแรงบันดาลใจและความชื่นชมต่อองค์กรและตำแหน่งงาน พร้อมระบุว่าคุณสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับทีมได้3. คุณมีจุดแข็งอะไรบ้าง?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความสามารถที่โดดเด่นของผู้สมัครแนวทางการตอบ: ระบุจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พร้อมอธิบายด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน4. จุดอ่อนของคุณคืออะไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูว่าผู้สมัครรู้จักตัวเองดีแค่ไหนแนวทางการตอบ: เล่าจุดอ่อนที่ไม่กระทบงานมากนัก พร้อมบอกวิธีแก้ไขหรือพัฒนาตัวเอง5. ทำไมเราควรจ้างคุณ?วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้สมัครแสดงคุณค่าของตัวเองแนวทางการตอบ: อธิบายว่าทำไมคุณเหมาะสมกับงาน ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และความตั้งใจ6. คุณเคยเผชิญความล้มเหลวหรือไม่? คุณจัดการอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูวิธีการรับมือกับปัญหาแนวทางการตอบ: เล่าประสบการณ์ความล้มเหลว พร้อมบอกสิ่งที่คุณเรียนรู้และพัฒนาจากเหตุการณ์นั้น7. คุณมีเป้าหมายในอาชีพอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความมุ่งมั่นในสายงานแนวทางการตอบ: บอกเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับตำแหน่งและองค์กร8. คุณทำงานภายใต้ความกดดันได้หรือไม่?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสามารถในการจัดการอารมณ์แนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่คุณจัดการความกดดันได้ดี พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นบวก9. คุณมีคำถามอะไรสำหรับเรา?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสนใจและการเตรียมตัวของผู้สมัครแนวทางการตอบ: เตรียมคำถามที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือวัฒนธรรมองค์กร10. คุณเคยทำงานเป็นทีมอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างโครงการที่คุณทำงานเป็นทีม พร้อมบอกบทบาทและผลลัพธ์ที่สำเร็จที่มา : www.jobth.com
อ่านเพิ่มเติม