ในยุคที่โลกหมุนเร็วเหมือนกดปุ่มFast-Forward เทคโนโลยีใหม่ๆ และAI (ปัญญาประดิษฐ์) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานเราไปแล้ว คำถามสำคัญคือ... ทักษะที่เรามีในวันนี้ จะยังดีพอสำหรับโลกการทำงานในปี2026 หรือไม่?การUpskill (ต่อยอดทักษะเดิม)และReskill (สร้างทักษะใหม่)ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ "ทางรอด" ของคนทำงานยุคใหม่ วันนี้จะมา "เปิดโผ"6ทักษะดิจิทัลสำคัญ ที่จะช่วยให้คุณไม่ใช่แค่ "อยู่รอด" แต่ยัง "เติบโต" และเป็นที่ต้องการตัวในตลาดแรงงานแห่งอนาคต!1.การใช้และสั่งการ AI (AI Literacy & Prompt Engineering)ในเมื่อAI คือผู้ช่วยคนใหม่ การ "คุย" กับAI ให้รู้เรื่องจึงเป็นทักษะสำคัญ ไม่ใช่แค่การใช้ChatGPT ถามตอบ แต่คือการเขียนคำสั่ง (Prompt) ที่เฉียบคม เพื่อให้AI ช่วยสร้างสรรค์งาน, วิเคราะห์ข้อมูล, หรือสรุปงานที่ซับซ้อนให้เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ2.การตัดสินใจด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making)ยุคนี้เลิกใช้ "ความรู้สึก" นำทาง! องค์กรต้องการคนที่สามารถอ่านข้อมูลพื้นฐาน, ทำความเข้าใจกราฟ, และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจได้ ทักษะนี้จะเปลี่ยนคุณจาก "คนทำงาน" ให้กลายเป็น "นักกลยุทธ์"3.ความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Awareness)เมื่อทุกอย่างออนไลน์ ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่ฝ่ายไอที การรู้เท่าทันPhishing, การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย, และการใช้งานWi-Fi สาธารณะอย่างระมัดระวัง คือทักษะพื้นฐานที่ช่วยป้องกันความเสียหายมหาศาลให้กับองค์กรได้4.การตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ (Digital Marketing & E-commerce)ไม่ว่าคุณจะอยู่แผนกไหน การเข้าใจวิธีการทำงานของโลกออนไลน์, การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย, หรือหลักการของแพลตฟอร์มE-commerce จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมธุรกิจและสร้างประโยชน์ให้องค์กรได้มากขึ้น5.การบริหารโปรเจกต์ดิจิทัล (Digital Project Management)ทักษะการใช้เครื่องมือทำงานร่วมกันทางไกล (Remote Collaboration Tools) และการบริหารจัดการโปรเจกต์ให้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลาในยุค Hybrid Working6.การสร้างสรรค์คอนเทนต์ดิจิทัล (Digital Content Creation)ความสามารถในการสื่อสารไอเดียผ่านรูปแบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการทำสไลด์นำเสนอที่น่าสนใจ, การตัดต่อวิดีโอสั้นๆ, หรือการเขียนบทความสรุปที่เข้าใจง่าย คือทักษะที่จะทำให้งานของคุณโดดเด่นและน่าสนใจกว่าใครที่มา : https://www.jobbkk.com
อ่านเพิ่มเติม1.วิเคราะห์งาน ฝ่ายบุคคล หรือHR บริษัทมักจะระบุคุณสมบัติของผู้สมัครงานและรายละเอียดงานต่าง ๆ การวิเคราะห์งานจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์งาน เพื่อให้คุณตรวจสอบรายละเอียดของงาน และพิจารณาว่าบริษัทกำลังมองหาอะไรในตัวของผู้สมัคร2.วิเคราะห์ตัวเอง การรู้วิเคราะห์ตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เรารู้จักตัวเองได้มากขึ้นและรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ขอบอกเลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เป็นคำถามยอดฮิตที่HR มักจะถามในการสัมภาษณ์งานเลย3.ศึกษาข้อมูลของบริษัท ก่อนไปทำการสัมภาษณ์งาน ควรที่จะศึกษาข้อมูลของบริษัทที่คุณกำลังที่จะไปสัมภาษณ์งานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณเตรียมคำตอบเกี่ยวบริษัท เนื่องจากหลาย ๆ ครั้งผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถามเกี่ยวกับบริษัท หรืออาจจะถามว่า “คุณรู้จักบริษัทที่สมัครงานดีแค่ไหน” และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจในงานและบริษัทนั้นมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย4.ฝึกซ้อมสัมภาษณ์งาน การฝึกซ้อมสัมภาษณ์ช่วยให้คุ้นเคยกับการสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมหน้ากระจก การตั้งกล้องเพื่อบันทึกวิดีโอ หรือซ้อมกับเพื่อนก็ตาม เพื่อดูว่าบุคลิกภาพของคุณเวลาสัมภาษณ์แสดงออกเป็นแบบไหน น้ำเสียงขณะสัมภาษณ์เป็นอย่างไร เพื่อให้แก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด5.เตรียมการแต่งกายให้พร้อม สิ่งแรกผู้สัมภาษณ์หรือHR จะสังเกตเห็นเกี่ยวกับตัวคุณ คือการแต่งกายและบุคลิกภาพภายนอก การแต่งกาย แต่งหน้า รวมไปถึงการทำผมที่เหมาะสมและสุภาพนั้น ช่วยทำให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้หากคุณเลือกโทนหรือเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวคุณยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวคุณได้อีกด้วย6.เตรียมคำถามเพื่อถามHRหรือผู้สัมภาษณ์ การถามคำถามของผู้สมัคร สำคัญไม่แพ้กับการตอบคำถาม เชื่อว่าก่อนจบในการสัมภาษณ์งานทุกครั้งผู้สมัครก็มักจะเจอคำถาม “คุณมีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหม” หลาย ๆ ท่านคงตอบปฏิเสธไปว่า “ไม่มีคำถาม” รู้หรือไม่ว่าคำถามนี้ หากคุณถามคำถามได้ดีถือว่าเป็นโอกาสทองที่ดีสำหรับผู้สมัครเลยก็ว่าได้ ดังนั้นควรที่จะเตรียมคำถามสำหรับถามHR ให้เป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงคำถามที่เกี่ยวกับการซุบซิบในที่ทำงาน7.เตรียมเอกสารให้พร้อม นอกจากการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานแล้ว ในการไปสัมภาษณ์ทุกครั้ง ควรที่จะเตรียมเอกสารให้พร้อม เช่น แฟ้มสะสมผลงานResume เอกสารทางการศึกษา และเอกสารแสดงตัวตน เป็นต้น เอกสารที่เตรียมไปนั้นควรเตรียมไปเผื่อ2-3 ชุด พร้อมทั้งเซ็นรับรองให้เรียบร้อย7เทคนิคการสร้างความประทับใจในการสัมภาษณ์งาน1.พูดชัดถ้อยชัดคำ ส่งผลดีต่อบุคลิกภาพและการสื่อสารที่ดีของผู้สมัคร อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการพูด ที่สำคัญควรเรียบเรียงการตอบคำถามหรือคำพูดให้ดี2.เลือกการใช้ระดับภาษาที่เหมาะสม ควรเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารให้เหมาะสม ไม่ควรเป็นทางการจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรพูดเล่นหรือติดตลกมากเกิน เพราะจะทำให้คุณหมดความน่าเชื่อถือ3.ให้ความสำคัญกับภาษากาย ภาษากาย หรืออวัจนภาษา มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่า “คุณเป็นคนอย่างไร” หากคุณแสดงภาษากายไม่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของคุณไม่ดีไปด้วย4.ไม่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าหรือนายจ้างเก่า ในการสัมภาษณ์งานคุณไม่ควรแสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้คุณดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ อีกทั้งยังส่งผลให้คะแนนติดลบไปอีก5.ตั้งใจฟังคำถาม และเป็นผู้ฟังที่ดี ในระหว่างการสัมภาษณ์งานคุณควรที่จะตั้งใจฟังคำถามและในช่วงที่ผู้สัมภาษณ์หรือ HR อธิบายลักษณะงาน เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความสนใจในการทำงาน6.รู้จักตั้งคำถาม การสัมภาษณ์งานที่ดีนอกจากเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว คุณไม่ควรปล่อยให้ผู้สัมภาษณ์อธิบายงานหรือถามเพียงฝ่ายเดียว หากมีโอกาสได้ถามหรือผู้สัมภาษณ์เปิดโอกาสให้คุณถามคำถาม คุณควรที่จะตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อแสดงความกระตือรือร้นต่องาน7.มีสติในการตอบคำถามทุกครั้ง การมีสติช่วยให้ลดความประหม่า และความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับคุณได้ ดังนั้นคุณควรตั้งสติและคิดอย่างรอบคอบก่อนตอบคำถามทุกครั้งสรุปสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน การเตรียมตัวสัมภาษณ์งานช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สมัคร นอกจากนี้คุณสามารถประเมินความสามารถของตนเอง และปรับปรุงบุคลิกภาพขณะสัมภาษณ์งานผ่านการฝึกซ้อมได้ด้วย สุดท้ายนี้ ไม่มีการสัมภาษณ์งานใดที่ทำให้คุณเสียเวลา แม้ว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน หรือแม้กระทั่งงานดังกล่าวไม่เหมาะสมกับคุณก็ตาม การสัมภาษณ์งานทุกครั้งเป็นการเปิดโอกาสในคุณได้ฝึกฝนทักษะการพูดและการสัมภาษณ์ไปในตัวที่มา: https://www.humansoft.co.th/th/blog/prepare-for-a-job-interview
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บทบาทของการเป็นผู้นำในยุคนี้ไม่ใช่แค่เพียงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ แต่คือการสร้าง ‘ความพร้อม’ ให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านAI, ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ล้วนเป็นแรงกดดันใหม่ที่ทำให้องค์กรไม่อาจพึ่งพา “ความแข็งแกร่ง” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ความมั่นคงในวันนี้อาจเกิดขึ้นจาก “ความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างความยืดหยุ่น” อยู่เสมอปี2025 จึงเป็น ปีแห่งการลงมือทำ เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตในปี2026บทความนี้Skooldio ได้สรุป5 หลักคิดสำคัญของ Future-Ready CEO พร้อมแนวทางปฏิบัติจริงที่จะช่วยให้คุณพาองค์กรก้าวผ่านความไม่แน่นอนด้วยความมั่นใจ5 หลักคิดของผู้นำพร้อมรับปี 20261. เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ (Embrace Bold Transformation)ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว IBM ชี้ว่าCEO ต้องมีความกล้าหาญเป็นแกนหลัก กล้าที่จะโอบรับทั้งความเสี่ยงและโอกาสสร้างทีมที่กล้าลองผิดลองถูก กล้าทดลอง เรียนรู้ ปรับความเร็วให้เหมาะสม ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ เพื่อเดินหน้าต่อไป2. นำทีมใช้AI อย่างมีกลยุทธ์ (Strategically Lead the AI Revolution)AI คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รายงานจากMIT CISR ระบุว่า บริษัทที่มีบอร์ดบริหารที่เข้าใจทั้งDigital และAIสามารถสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง10.9%McKinsey ยังสรุปบทเรียนสำคัญจากWorld Economic Forum ที่Davos ว่าGenerative AI คือโอกาสที่มีมูลค่าสูงถึง4.4 ล้านล้านดอลลาร์ และมีพลังในการพลิกโฉมทั้งองค์กร แต่ความท้าทายคือมีเพียง11% ของโปรเจกต์gen AI pilots เท่านั้นที่สามารถขยายผลได้จริง (“only 11 percent of gen AI pilots actually scale”- McKinsey & Company)สิ่งที่CEO ต้องทำจึงไม่ใช่แค่ทดลองAI แต่ต้องเปลี่ยนไปสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรโดยเน้นโปรเจกต์ที่ให้ผลลัพธ์และROI ชัดเจนนอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่อง ข้อมูล เพราะข้อมูลคือรากฐานของAI หากองค์กรไม่มีโครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรงการลงทุนด้าน AI อาจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น3. สร้างองค์กรให้คล่องตัว รับมือความเปลี่ยนแปลง (Cultivate Strategic Agility in a Volatile World)ในโลกที่ผันผวนและคาดเดายาก ผู้นำควรติดตามความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เศรษฐกิจ หรือภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ฯลฯ เพื่อประเมินทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้ก่อนคู่แข่งนอกจากนี้การวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยยังรักษาความสามารถในการแข่งขันและไม่พลาดโอกาส ในตลาดเกิดใหม่ พร้อมกันนั้นยังคงเสริมความแกร่งในตลาดเดิมได้อย่างยั่งยืน4. ลงทุนในคนและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับอนาคต (Invest in Future-Ready People and Culture)Future of Jobs Report 2025 โดยWorld Economic Forum คาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นสุทธิ78 ล้านตำแหน่งภายในปี2030 แต่39% ของทักษะสำคัญจะเปลี่ยนแปลงไปดังนั้นผู้นำควรปิดช่องว่างนี้ด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงความรู้ที่เป็นเชิงทฤษฎีให้พวกเขาสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้จริงในงานนอกจากนี้อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรคือ ผู้จัดการ ที่ผู้นำจำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมไม่เพียงแค่เรื่องเครื่องมือAI แต่รวมไปถึงการพัฒนาhuman skills ต่าง ๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ, การcoaching, strategic problem-solving เป็นต้นผู้จัดการจะกลายเป็นผู้ที่ดูแลการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด5. ผสานความยั่งยืนและความยืดหยุ่น (Integrate Sustainability & Resilience)ในเดือนตุลาคม2024 PwC Pulse Survey รายงานว่า64% ของผู้บริหารมองว่า Climate Change เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจในระดับปานกลางถึงรุนแรง เพิ่มขึ้นจาก61% ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันPwC ยังระบุว่า “Sustainability unlocks enormous opportunities.”หากมองให้ลึก ความยั่งยืนยังเปิดประตูสู่ โอกาสใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในตลาดที่เกิดใหม่ การดึงดูดลูกค้าและพนักงานกลุ่มใหม่ ที่จะร่วมกันสร้างองค์กรที่ให้คุณค่ากับStakeholders อย่างแท้จริงนอกจากนี้ท่ามกลางโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการ เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรรายงานจากEY ซึ่งสำรวจcorporate directors เกือบ500 คนจาก7 ประเทศในทวีปอเมริกา พบว่าในปี2025 บอร์ดบริหารจะให้ความสำคัญกับ4 เรื่องหลัก เพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับความไม่แน่นอนและการTransformation ได้แก่:Capital StrategyTechnological Security & InnovationGeopolitical Scenario PlanningTalent Advantageจากหลักคิดสู่การปฏิบัติ: 6 สิ่งที่CEO ต้องลงมือทำการมีหลักคิดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่แยก ‘องค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต’ ออกจากองค์กรทั่วไป คือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิด ไปสู่การปฏิบัติจริงการเป็นFuture-Ready CEO จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการมองเห็นเทรนด์หรือกำหนดวิสัยทัศน์ แต่คือการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าแม้ในสภาวะที่ไม่แน่นอนรายงานจากBCG ระบุว่า มี6 action ที่CEO เท่านั้นสามารถทำได้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (Create Purpose and Clarity)CEO ต้องกำหนดและสื่อสารวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกลยุทธ์กับเป้าหมายและสิ่งที่วัดผลได้ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในองค์กร2. โฟกัส (Create Focus)แปลง ‘Vision’ ให้เป็นสิ่งที่องค์กรสามารถลงมือทำได้จริง มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญสูงสุด ทุ่มทรัพยากรและพลังงานไปยังงานที่สร้างผลลัพธ์ พร้อมทั้งรู้ว่าอะไรควรหยุดทำเพื่อไม่ให้ทีมไขว้เขว3. สร้างศักยภาพให้องค์กร (Create Capacity)สร้างศักยภาพให้ทีมและองค์กรผ่านการใช้เทคโนโลยีและ AI, การupskilling ไปพร้อม ๆ กับการดูแลใจคนในองค์กร4. สร้างแรงผลักดัน (Create Drive)สร้างแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ทีมเชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้ พร้อมสร้างความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนBCG ระบุว่า ‘Storytelling’ เป็นเครื่องมือทรงพลัง หากCEO เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่ตนได้ลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่างจริง ก็จะยิ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นั้น ย้ำให้ทีมเห็นว่ามันเป็นไปได้จริง พร้อมทั้งผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้เร็วและไกลขึ้น5. ลดความซับซ้อน (Reduce Complexity)แน่นอนว่าเมื่อธุรกิจเติบโต ความซับซ้อนก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าความซับซ้อนนั้นไม่ได้สร้างคุณค่าก็จะยิ่งถ่วงทีมให้ช้าลงCEO ต้องลดความซับซ้อนในบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่อาจทับซ้อนกันอยู่ และ ‘Align’ โปรเจกต์ต่าง ๆ กับเป้าหมายสำคัญขององค์กร เพื่อให้ทีมทำงานได้อย่างคล่องตัวและโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริง ๆ6. ลดความขัดแย้ง (Reduce Friction)Unconstructive Friction หรือความขัดแย้งที่ไม่สร้างสรรค์ในทีม เป็นสิ่งที่บั่นทอนความไว้วางใจและชะลอความก้าวหน้าขององค์กรดังนั้นCEO จึงควรเสริมสร้างวัฒนธรรมที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัย และจัดการกับความขัดแย้งอย่างตรงไปตรงมาที่มา: https://blog.skooldio.com/the-future-ready-executive-2026/
อ่านเพิ่มเติม