ข่าวสารและบทความ

ข่าวล่าสุด

17 พฤศจิกายน 2568

พนักงานแบบไหนที่ผู้ประกอบการต้องการตัว

1. สื่อสารได้ดี คนยุคใหม่ถนัดใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร แต่อาจไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแบบตรง ๆ เท่าใดนัก ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนในการสื่อสารไปอย่างไม่น่าเชื่อ และการทำงานในองค์กรย่อมหนีไม่พ้นการติดต่อสื่อสารกับผู้คนหลากหลายบทบาทหน้าที่และตำแหน่งการงาน คนที่จะประสบความสำเร็จในองค์กรก็คือคนที่สื่อสารได้ดี มีทักษะในการเจรจาอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี2. มีทัศนคติเชิงบวก คนที่มีทัศนคติเชิงบวกย่อมเป็นที่ต้อนรับของคนทุกกลุ่ม องค์กรเองก็ต้องการคนที่มองโลกแง่ดี มองเห็นโอกาสในปัญหาอยู่เสมอ และเข้าใจผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่แล้วเวลาปฏิบัติงาน คนกลุ่มนี้มักจะทำได้ดีกว่าคนที่มีทัศนคติด้านลบ เนื่องจากมีใจเปิดกว้าง ไม่ตั้งแง่ก่อนลงมือทำ ไม่ค่อยมีปัญหาขัดแย้งกับใคร และยินดีช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ สามารถประสานงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี3. พร้อมทุกสถานการณ์ เปิดรับโอกาสใหม่ ๆ องค์กรส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่มีความพร้อมอยู่เสมอ และมีใจเปิดรับกับทุกโอกาสใหม่ ๆ ในการทำงาน ทั้งภารกิจใหม่ ๆ ที่ได้รับมอบหมาย วิธีการทำงานใหม่ ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์กร โดยไม่กังวัลต่อภาระหน้าที่รับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ความท้าทาย อุปสรรคปัญหา และความผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ปิดกั้นตัวเองแบบนี้ ก็ย่อมประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าคนที่อยู่แต่ใน Comfort zone อย่างแน่นอน4. ทำงานเป็นทีมได้ ปรับตัวได้ดี งานในองค์กรไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยพนักงานเพียงคนเดียวฉันใด ทีมเวิร์กที่ดีก็เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรพึงปรารถนาฉันนั้น ทีมที่ประสบความสำเร็จต้องการคนที่มีความสามารถ รู้จักบทบาทหน้าที่ และมีความมุ่งมั่นเพียงพอที่จะผลักดันให้งานเดินหน้าและบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ พนักงานยังต้องปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาอยู่ทุกขณะ พนักงานที่ดีจึงต้องมีความยืดหยุ่นสูง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ และพร้อมรับกับทุกการเปลี่ยนแปลง5. มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความรับผิดชอบสูง ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะในการทำงาน เป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนต้องมีเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน เชื่อว่าพนักงานหลาย ๆ คนมีความรู้เพียงพอ และมีทักษะที่ดีในการทำงานกันอยู่แล้ว แต่อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการทำงานก็คือความรับผิดชอบ และองค์กรส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการพนักงานที่มีความรับผิดชอบสูง มอบหมายงานอะไรให้ก็ทำงานได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เมื่อมีอุปสรรคปัญหาในการทำงาน พนักงานที่มีความรับผิดชอบสูงก็จะไม่ล้มเลิก และยังคงพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ จนงานสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ6. มีใจรักในงาน และมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าองค์กรไหน ๆ ย่อมพึงพอใจกับการได้ร่วมงานกับคนที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงาน เพราะพนักงานที่มีใจรักในงานที่ทำ และมีเป้าหมายที่จะทำงานให้สำเร็จอยู่เสมอ ย่อมไม่ทำงานแบบขอไปที ทำงานไปวัน ๆ โดยขาด passion จนนำไปสู่การลาออกจากงานในที่สุด นอกจากนี้ คนทำงานที่มี passion มักจะเปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านบวก และความกระตือรือร้นอยู่เสมอ สร้างบรรยากาศการทำงานและภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีพลังและมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต7. สร้างจุดขาย มีความคิดสร้างสรรค์ การแข่งขันขององค์กรธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ได้แข่งขันกันแค่เพียงผลิตสินค้าออกมาเป็นจำนวนมาก ๆ อย่างแต่ก่อนอีกต่อไป สิ่งที่ทุกองค์กรต้องมีก็คือ "จุดขาย" ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ ๆ จึงจะได้เปรียบในเชิงธุรกิจ มีชัยเหนือคู่แข่ง พนักงานยุคใหม่จึงต้องมีคุณสมบัติให้สอดรับกับกลยุทธ์ขององค์กร ด้วยการคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ และคิดต่อยอดจากสิ่งที่องค์กรมีได้8. มีวินัย ตรงต่อเวลา รักษาคำพูด เจ้านายทุกคนชอบลูกน้องที่มีวินัยในการทำงานสูง ตรงต่อเวลา และรักษาคำพูด พูดอะไรไว้หรือสัญญาอะไรก็ต้องทำได้ตามที่พูด คำไหนคำนั้น พนักงานที่ดีต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง รับปากว่าจะทำอะไร จะส่งมอบงานแบบไหน เมื่อไหร่ ก็ต้องสร้างผลลัพธ์ได้ตามที่ตกลงกันไว้อยู่เสมอ9. สุดยอดนักแก้ไขปัญหา อีกหนึ่งคุณสมบัติที่องค์กรต้องการในตัวพนักงาน คือ การกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุ และคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ได้อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องสามารถคิดหาทางเลือกและทางออกได้มากกว่า 1 ทาง พร้อมตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดให้องค์กรได้อีกด้วย10.สุดยอดนักวางแผน งานทุกงานที่จะประสบความสำเร็จได้ดี ต้องมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและมีกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ องค์กรจึงต้องการคนที่สามารถกำหนดเป้าหมายในการทำงาน และสามารถวางแผนงานจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ทั้งกระบวนการและขั้นตอนการทำงาน การประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การทำงานเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่มา : www.jobsdb.com

อ่านเพิ่มเติม

13 พฤศจิกายน 2568

เมื่องานมากขึ้นขอขึ้นเงินเดือนได้ไหม คำถามคาใจที่พนักงานสงสัย

เงินเดือน คืออะไร เงินเดือน คือ ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน เพื่อตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบ จูงใจให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการใช้ความรู้ความสามารถทำงานให้กับองค์กรได้อย่างเต็มที่เงินเดือน กับ ค่าตอบแทน ต่างกันอย่างไร อย่างที่อธิบายไปตอนต้นว่า เงินเดือน คือค่าจ้างที่ผู้ปฏิบัติการได้รับเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งเงินเดือนนี้คือส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน ที่เราพึงจะได้รับจากบริษัทนั่นเอง เพราะค่าตอบแทนคือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อจูงใจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างความเท่าเทียมกันในองค์กร และสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ คือค่าตอบแทนคงที่ ประกอบด้วย เงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ ค่าครองชีพ โบนัสคงที่ เบี้ยประจำ (เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าตำแหน่ง ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น) และค่าตอบแทนอื่น ๆ ในรูปแบบของตัวเงินที่จ่ายให้พนักงานในอัตราที่คงที่ มักมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของเราตามคุณค่าของงานค่าตอบแทนผันแปร ประกอบด้วย ค่าเบี้ยเลี้ยง เงินรางวัล ค่าคอมมิชชั่น โบนัสตามผลงาน และค่าตอบแทนอื่น ๆ เพื่อตอบแทนที่พนักงานทำงานที่มอบหมายจนสำเร็จลุล่วง มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นผลงานและประสิทธิภาพในการผลักดันผลสัมฤทธิ์ของงานสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ มีทั้งที่อยู่ในรูปแบบของตัวเงิน และสิทธิประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล วันลา ที่จอดรถ การท่องเที่ยวประจำปี การอบรมเพิ่มทักษะฝีมือ เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้สึกรักในองค์กรของพนักงาน ทั้งนี้ สัดส่วนค่าตอบแทนทั้งหมดที่เราได้รับ จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละองค์กร แต่ละตำแหน่ง เช่น ในตำแหน่งที่ต้องการคนมีศักยภาพสูงเข้าทำงาน จะมีฐานเงินเดือนสูงกว่าสวัสดิการและโบนัส เพื่อสร้างความรู้มั่นคงทางรายได้ให้กับพนักงาน ส่วนตำแหน่งงานที่ให้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สูงกว่าเงินเดือน จะเน้นสร้างความรัก ความผูกพัน และความภักดีของพนักงานที่มีต่อองค์กร เหล่านี้เป็นต้นเงินเดือนหรือค่าตอบแทน มีความสำคัญอย่างไรต่อคนทำงาน นอกจากเงินเดือนจะเป็นสิ่งที่บริษัทมอบให้กับพนักงานเพื่อตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ แล้ว เงินเดือนหรือค่าตอบแทน ยังมีความสำคัญด้านอื่น ๆ ต่อคนทำงานด้วย ดังนี้1.เป็นแรงจูงใจในการทำงาน เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เงินเดือน และค่าตอบแทน สร้างแรงจูงใจในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยเงินเดือนเป็นเงินที่เราจะได้รับเป็นประจำทุกเดือน ช่วยสร้างความมั่นคงที่เรามีต่อบริษัท และแสดงให้เห็นว่าบริษัทเล็งเห็นในศักยภาพการทำงานของเราจึงจ่ายผลตอบแทนให้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ส่วนค่าตอบแทน เช่น ค่า Incentive ค่า Commission ช่วยจูงใจให้เราอยากพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำผลงานได้ดี ยิ่งได้ค่าตอบแทนสูง เป็นต้น2.ทำให้คนรู้สึกจงรักภักดีต่อองค์กร การที่บริษัทจ่ายเงินเดือนหรือค่าตอบแทนอย่างสมเหตุสมผล มีความยุติธรรม ครอบคลุม และเพียงพอ จะทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจ รู้สึกว่าบริษัทมีความเข้าใจ ใส่ใจ และห่วงใยพนักงานทุกคน ส่งผลให้พนักงานรู้สึกจงรักภักดีต่อองค์กร ไม่มีความรู้สึกอยากลาออก และอยากทำงานร่วมกับบริษัทนี้ไปนาน ๆ3.มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อพนักงานแต่ละคนได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและเพียงพอต่อความต้องการในการดำเนินชีวิต มีสวัสดิการรองรับ สามารถซัพพอร์ตความต้องการของตนเองและครอบครัวได้ ย่อมส่งผลให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของพนักงานเป็นไปในทิศทางที่ดี การทำงานที่ได้รับมอบหมายก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย4.แสดงถึงความมั่นคงและเสถียรภาพของบริษัท การที่บริษัทสามารถซัพพอร์ตเงินเดือนให้พนักงานได้ทุกเดือน และมีค่าตอบแทนให้พนักงานเพิ่มเติม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง มีผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดี มีการวางแผนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้พนักงานมีความเชื่อถือในบริษัทที่ทำอยู่ว่ามีเสถียรภาพที่ดี ค่อนข้างมั่นคง และสามารถทำงานที่นี่ได้ในระยะยาวแล้วถ้างานเพิ่มขึ้น จะขอขึ้นเงินเดือนอย่างไร ในกรณีที่เราประเมินภาระงานของเรากับเงินเดือนแล้ว เห็นว่าไม่สอดคล้องกันจนทำให้เราเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงานเพิ่มขึ้นแต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่มีภาระงานมากขึ้นแต่ไม่มีการขึ้นเงินเดือน การเดินไปปรึกษาหัวหน้างานก็เป็นอีกหนึ่งทางออกที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินเข้าไปปรึกษาเลยโดยไม่เตรียมตัวหรือไม่มีหลักการใดรองรับ เพราะนั่นอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเราเองได้ หากตัดสินใจแล้วว่าอยากลองสักตั้ง อยากลองคุยกับหัวหน้างานเรื่องการขึ้นเงินเดือนดูสักครั้ง เรามีวิธีปฏิบัติมาแนะนำให้นำไปปรับใช้ ดังนี้1.ประเมินศักยภาพตนเองเบื้องต้น ก่อนจะเดินไปคุยกับหัวหน้าเรื่องปริมาณงานและเงินเดือน เราต้องประเมินตัวเองเบื้องต้นก่อนว่าเมื่อเริ่มทำงานเรามาทำในตำแหน่งอะไร ขอบเขตงานมีอะไร ได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับตอนนี้ว่าเรายังทำตำแหน่งเดิมไหม มีประสบการณ์อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจแค่ไหน ได้รับคำติชมอะไรจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานบ้าง และตอนนี้เราได้เงินเดือนเท่าไหร่ สมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อประเมินและวิเคราะห์เปรียบเทียบเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้จดบันทึกไว้กันลืมด้วย เพราะข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะนำไปใช้ในการคุยกับหัวหน้าในขั้นตอนต่อไป2.หาจังหวะคุยที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่การประเมินเงินเดือนของแต่ละบริษัท มักจะเริ่มช่วงปลายปี เพราะถือเป็นการประเมินผลงานของเราตลอดทั้งปีเพื่อพิจารณาว่าควรขึ้นเงินเดือนหรือไม่ หรือควรขึ้นเท่าไหร่ จังหวะนี้เองเราสามารถขอเจรจาปรึกษาหัวหน้าได้ อีกจังหวะหนึ่งที่สามารถคุยเรื่องการขึ้นเงินเดือนได้คือ หลังจากเราทำโปรเจกต์ใหญ่สำเร็จลุล่วง หรือมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจของบริษัท ข้อแนะนำอีกหนึ่งอย่าง คือ ควรเลือกช่วงที่หัวหน้าอารมณ์ดี ไม่มีเรื่องตึงเครียด และผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดี รวมไปถึงควรเลือกสถานที่ผ่อนคลาย และบรรยากาศดี ก็จะช่วยให้การพูดคุยราบรื่นขึ้นยิ่งขึ้นได้3.ไม่ควรระบุเงินเดือนที่ต้องการ การระบุจำนวนเงินเดือนที่ต้องการในการเจรจา อาจทำให้เราได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะได้จริง ๆ ก็เป็นได้ ในระหว่างการพูดคุย ควรแสดงให้หัวหน้าเห็นว่าบริษัทจะได้ประโยชน์อะไรจากการขึ้นเงินเดือนให้เรา เพื่อให้หัวหน้าหรือบริษัทเป็นฝ่ายประเมินเงินเดือนที่เราควรจะได้รับจะดีกว่า เพราะจำนวนเงินเดือนเป็นเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้ และบางครั้งบริษัทอาจมอบสวัสดิการอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่าให้เราแทน เช่น ได้วันหยุดเพิ่ม ได้เข้าอบรมหรือเข้าคอร์สเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ได้ไปศึกษาดูงาน ฯลฯ4.สุภาพ นอบน้อม รู้จังหวะ ไม่รีบร้อน อย่าลืมว่าจุดประสงค์หลักของเราคือการเจรจาต่อรองกับหัวหน้าเรื่องการขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่ได้รับ ดังนั้น ควรเลือกใช้น้ำเสียงและจังหวะการพูดที่นอบน้อม เรียบร้อย เป็นเหตุเป็นผล มีความมั่นใจ และค่อยเป็นค่อยไป อาจเริ่มการพูดคุยด้วยความทุ่มเทและผลงานดี ๆ ของเราที่ผ่านมา ภาระงานตอนนี้ของเรามีอะไรบ้าง เรามีความรักในงานที่ทำ ดีใจที่ได้ร่วมงานกับหัวหน้า และการทำงานจะดียิ่งกว่านี้ถ้ามีการปรับขึ้นเงินเดือนของเราให้เหมาะสมกับหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายมา เพราะเราเชื่อว่าเรามีศักยภาพเพียงพอ เป็นต้น แนะนำว่าระหว่างการพูดคุยให้พยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นไปในแง่บวก เพื่อโน้มน้าวให้หัวหน้าคล้อยตามเหตุและผลที่เรานำเสนอไป ควรใช้คำว่า “และ” เพื่อเสริมเหตุผลของเราไปเรื่อยๆ หลีกเลี่ยงการพูดคำว่า “แต่” เพราะอาจทำให้การเจรจาที่กำลังไหลลื่นเกิดสะดุดขึ้นมาได้5.ไม่ควรกดดันรีบขอคำตอบ ไม่ว่าในการเจรจาใด ๆ การคาดคั้นขอทราบคำตอบแบบทันทีทันใดย่อมสร้างบรรยากาศกดดันให้กับคู่สนทนาทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวผู้ที่ขอเจรจาเลย เพราะอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร ในกรณีการขอขึ้นเงินเดือน เราควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เป็นกลาง เป็นการพูดคุยด้วยเหตุและผล โฟกัสแค่เฉพาะเรื่องงาน ไม่มีปัญหาเรื่องส่วนตัวเข้ามาปะปน เช่น ต้องการขึ้นเงินเดือนเพราะมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เป็นต้น และเมื่อเข้าประเด็นเรื่องการขึ้นเงินเดือน ให้จบการสนทนาด้วยการให้หัวหน้าหรือฝ่าย HR เป็นฝ่ายพิจารณาปรับขึ้นตามความเหมาะสม6.เตรียมแผนสำรอง ข้อควรระวังในการขอขึ้นเงินเดือนคือ ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจริงอย่างที่ขอไป หรือจะได้พิจารณาขึ้นเงินเดือนในเร็ววัน เพราะแต่ละบริษัทมีขั้นตอนแตกต่างกัน ช้าบ้างเร็วบ้าง หรือบางทีบริษัทอาจมีเหตุผลที่จะไม่ขึ้นเงินเดือนให้เราตามที่ขอไปก็ได้ ข้อแนะนำคือ หลังจากคุยกับหัวหน้าแล้วควรหมั่นติดตามผล คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอยู่ห่าง ๆ และไม่ควรเดินไปทวงถาม หากผ่านไปเป็นระยะเวลานานยังไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน หรือได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ ลองขอนัดเจรจากับหัวหน้าอีกครั้ง เสนอตัวเลขใหม่ที่น่าจะตกลงกันได้ หรือเสนอเป็นสวัสดิการอื่นที่จะเอื้อให้เราทำงานได้ดีขึ้นเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่า เงินเดือนคือสิ่งตอบแทนที่เราได้รับจากการปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หากงานเพิ่มขึ้นเราก็สามารถเจรจาเพื่อขอขึ้นเงินเดือนให้สอดคล้องกับปริมาณงานได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด เพียงแค่เราจำเป็นต้องเลือกโอกาสและช่วงเวลาในการพูดคุยให้เหมาะสม เมื่อทุกอย่างลงล็อก การขอขึ้นเงินเดือนก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม

21 ตุลาคม 2568

10 คำถามสัมภาษณ์งานยอดฮิตและวิธีตอบให้ประทับใจ

การสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้สมัครงานทุกคนต้องเผชิญ บทความนี้จะแนะนำคำถามยอดฮิตที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน พร้อมแนวทางการตอบเพื่อสร้างความประทับใจ1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังหน่อยวัตถุประสงค์: เพื่อทำความรู้จักตัวตนและประสบการณ์ของผู้สมัครแนวทางการตอบ: แนะนำตัวเองโดยย่อ เน้นประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน2. ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแรงจูงใจของผู้สมัครแนวทางการตอบ: พูดถึงแรงบันดาลใจและความชื่นชมต่อองค์กรและตำแหน่งงาน พร้อมระบุว่าคุณสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับทีมได้3. คุณมีจุดแข็งอะไรบ้าง?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความสามารถที่โดดเด่นของผู้สมัครแนวทางการตอบ: ระบุจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พร้อมอธิบายด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน4. จุดอ่อนของคุณคืออะไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูว่าผู้สมัครรู้จักตัวเองดีแค่ไหนแนวทางการตอบ: เล่าจุดอ่อนที่ไม่กระทบงานมากนัก พร้อมบอกวิธีแก้ไขหรือพัฒนาตัวเอง5. ทำไมเราควรจ้างคุณ?วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้สมัครแสดงคุณค่าของตัวเองแนวทางการตอบ: อธิบายว่าทำไมคุณเหมาะสมกับงาน ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และความตั้งใจ6. คุณเคยเผชิญความล้มเหลวหรือไม่? คุณจัดการอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูวิธีการรับมือกับปัญหาแนวทางการตอบ: เล่าประสบการณ์ความล้มเหลว พร้อมบอกสิ่งที่คุณเรียนรู้และพัฒนาจากเหตุการณ์นั้น7. คุณมีเป้าหมายในอาชีพอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความมุ่งมั่นในสายงานแนวทางการตอบ: บอกเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับตำแหน่งและองค์กร8. คุณทำงานภายใต้ความกดดันได้หรือไม่?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสามารถในการจัดการอารมณ์แนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่คุณจัดการความกดดันได้ดี พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นบวก9. คุณมีคำถามอะไรสำหรับเรา?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสนใจและการเตรียมตัวของผู้สมัครแนวทางการตอบ: เตรียมคำถามที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือวัฒนธรรมองค์กร10. คุณเคยทำงานเป็นทีมอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างโครงการที่คุณทำงานเป็นทีม พร้อมบอกบทบาทและผลลัพธ์ที่สำเร็จที่มา : www.jobth.com

อ่านเพิ่มเติม

ข่าว

25 เมษายน 2566

ประกาศแจ้งเตือนจากบริษัทในกลุ่มอมตะ

18 เมษายน 2566

สมัครงานยังไง ?...ให้ได้งาน พบกับ 10 เทคนิคดีๆ ที่ควรรู้ !!

บทความ

10 ตุลาคม 2568

บุคลิกภาพกับการเลือกอาชีพ

11 กันยายน 2568

เปิดลิสต์ 6 ทักษะดิจิทัล ที่คนทำงานต้องมีในปี 2026 ถ้าไม่อยาก “ตกรุ่น” ห้ามพลาด!

02 กันยายน 2568

7 เทคนิคสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน

29 สิงหาคม 2568

The Future-Ready Executive: เตรียมพร้อมผู้นำสู่ปี 2026

18 สิงหาคม 2568

ไขความลับ AI ยิ่งใช้ยิ่งฉลาด ไม่ขาด Critical Thinking

13 สิงหาคม 2568

ปีแห่งการปรับตัวของมนุษย์ สำรวจเทรนด์ทำงานน่าจับตาประจำปี 2025

04 สิงหาคม 2568

ตลาดแรงงานไทยฟื้นตัว องค์กร 53% จ่อจ้างงานเพิ่ม แต่เทรนด์ ‘จ้างงานยืดหยุ่น’ มาแรง Part-time พุ่งเท่าตัว สะท้อนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

29 กรกฎาคม 2568

เขียนประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ลงในเรซูเม่ให้ได้เปรียบคนอื่น

10 มิถุนายน 2568

10 คำถามสัมภาษณ์งานยอดฮิตและวิธีตอบให้ประทับใจ

28 พฤษภาคม 2568

เจาะลึกบุคลิก ‘Ambivert’ คนที่ทั้งเก็บตัวและเปิดเผย ผู้นำที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกธุรกิจยุคใหม่

21 พฤษภาคม 2568

คนเก่งยุคใหม่ ต้องมี ‘Human Skills’ เพราะ LinkedIn เผย ‘ไกล่เกลี่ย’ คือทักษะที่ตลาดต้องการในปี 2025

13 พฤษภาคม 2568

คนรุ่นใหม่ใช้ AI ช่วยสมัครงาน-เขียนเรซูเม่-ฝึกซ้อมสัมภาษณ์งาน

07 พฤษภาคม 2568

สำรวจ Future of Work ปี 2025 เมื่อ AI มาแรง – ต้องแย่งชิง Talent – ความยืดหยุ่นในการทำงานเพิ่มขึ้น

28 เมษายน 2568

8 ทักษะความเป็นผู้นำที่สำคัญในปี 2025

21 เมษายน 2568

9 คำถามสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์ทีไรเจอแน่นอน ตอบยังไงไปดูกัน

17 เมษายน 2568

The Future of Jobs 2025 ชี้ทักษะแห่งอนาคต พร้อมแนะกลยุทธ์สร้างมนุษย์แห่งอนาคต (Future Human) สำหรับประเทศไทย

08 เมษายน 2568

กลยุทธ์คนทำงาน เงินพุ่ง งานรุ่ง ใครก็แทนไม่ได้

01 เมษายน 2568

ฉายทิศทางตลาดงานปี 2025 งานไหนมาแรง เตรียมตัวอย่างไรไม่ให้เป็นคนตกงาน

25 มีนาคม 2568

เขียนประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ลงในเรซูเม่ให้ได้เปรียบคนอื่น

17 มีนาคม 2568

7 แนวคิดของการทำงานยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพ

12 มีนาคม 2568

7 เทรนด์การทำงานน่าติดตามที่จะมาเปลี่ยนชีวิตการทำงาน ปี 2025

14 มกราคม 2568

10 อันดับอาชีพมาแรงพร้อมฐานเงินเดือนสูงในปี 2025

07 มกราคม 2568

เจาะลึก...งานประจำกับฟรีแลนซ์..ต่างกันตรงไหน..แบบไหนที่ใช่..มากที่สุด

16 ธันวาคม 2567

20 เทรนด์อาชีพมาแรงในอนาคต ปี 2025-2029

04 ธันวาคม 2567

14 คำแนะนำดีๆ สำหรับคนเริ่มต้นหางาน ให้ได้งานที่ใช่

26 พฤศจิกายน 2567

รู้จัก 4 รูปแบบหลักในการสัมภาษณ์งานของผู้สมัคร

15 พฤศจิกายน 2567

เขียนประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ลงในเรซูเม่ ให้ได้เปรียบคนอื่น

26 กันยายน 2567

14 เครื่องมือ AI ที่ชาวออฟฟิศต้องมี ช่วยให้ทำงานง่ายสบายกว่าเดิม

16 กันยายน 2567

รู้จักกับ RESUME, CV และ PORTFOLIO พร้อมเคล็ดลับการสร้างสรรค์ให้โดนใจ HR

10 กันยายน 2567

โลกในปี 2025 จะเป็นอย่างไร 10 เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลกที่ต้องจับตา

04 กันยายน 2567

ทักษะ "Soft Skills" ที่จําเป็นต้องพัฒนาสู่ปี 2025 จากมุมมองของนักการตลาด

29 สิงหาคม 2567

"10 อันดับ" อาชีพอินเทรนด์ในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต..ไม่จม..ไม่หาย..แถมทำรายได้ดี !

07 พฤษภาคม 2567

ึึ7 เทรนด์ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่องค์กรทั่วโลกต้องกลับมาทบทวนเพื่อประยุกต์ใช้ในปี 2567

22 กุมภาพันธ์ 2567

วิธีรับมือ 7 คำถาม “สัมภาษณ์งาน” ที่คนสมัครงานมักจะต้องเจอ

22 กุมภาพันธ์ 2567

อัปเดต 5 เทรนด์การทำงานประจำปี 2024

18 เมษายน 2566

ส่องเทรนด์อาชีพปี 66 พบ 14 อาชีพรุ่ง-5 อาชีพร่วง

18 เมษายน 2566

“แค๊บหมู” ทำกินเองได้ ทำขายรายได้ดี

กิจกรรม

04 เมษายน 2568

อมตะซิตี้ ระยอง ร่วมกิจกรรมจิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง

31 มีนาคม 2568

อมตะจับมือซูมิโตโม รับเบอร์ ชวนพนักงานร่วมเป็นฮีโร่ กับโครงการ “100 ล้านซีซี โลหิตชาวอมตะเพื่อสภากาชาดไทย”

25 มีนาคม 2568

อมตะซิตี้ ชลบุรี ร่วมกับสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จัดกิจกรรม Eco Green Network ประจำปี 2568
ติดต่อเรา
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
  • 700 บางนา-ตราด กม. 57 อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000
  • 03 893 9007
บริษัท อมตะซิตี้ ระยอง จำกัด
  • 7 ทางหลวงหมายเลข 331 กม. 39 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20230
  • 03 849 7007
ข้อมูลติดต่อ
  • amatajobsonline@amata.com
ช่องทางการติดตาม