1.วิเคราะห์งาน ฝ่ายบุคคล หรือHR บริษัทมักจะระบุคุณสมบัติของผู้สมัครงานและรายละเอียดงานต่าง ๆ การวิเคราะห์งานจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์งาน เพื่อให้คุณตรวจสอบรายละเอียดของงาน และพิจารณาว่าบริษัทกำลังมองหาอะไรในตัวของผู้สมัคร2.วิเคราะห์ตัวเอง การรู้วิเคราะห์ตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เรารู้จักตัวเองได้มากขึ้นและรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ขอบอกเลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เป็นคำถามยอดฮิตที่HR มักจะถามในการสัมภาษณ์งานเลย3.ศึกษาข้อมูลของบริษัท ก่อนไปทำการสัมภาษณ์งาน ควรที่จะศึกษาข้อมูลของบริษัทที่คุณกำลังที่จะไปสัมภาษณ์งานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณเตรียมคำตอบเกี่ยวบริษัท เนื่องจากหลาย ๆ ครั้งผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถามเกี่ยวกับบริษัท หรืออาจจะถามว่า “คุณรู้จักบริษัทที่สมัครงานดีแค่ไหน” และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจในงานและบริษัทนั้นมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย4.ฝึกซ้อมสัมภาษณ์งาน การฝึกซ้อมสัมภาษณ์ช่วยให้คุ้นเคยกับการสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมหน้ากระจก การตั้งกล้องเพื่อบันทึกวิดีโอ หรือซ้อมกับเพื่อนก็ตาม เพื่อดูว่าบุคลิกภาพของคุณเวลาสัมภาษณ์แสดงออกเป็นแบบไหน น้ำเสียงขณะสัมภาษณ์เป็นอย่างไร เพื่อให้แก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด5.เตรียมการแต่งกายให้พร้อม สิ่งแรกผู้สัมภาษณ์หรือHR จะสังเกตเห็นเกี่ยวกับตัวคุณ คือการแต่งกายและบุคลิกภาพภายนอก การแต่งกาย แต่งหน้า รวมไปถึงการทำผมที่เหมาะสมและสุภาพนั้น ช่วยทำให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้หากคุณเลือกโทนหรือเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวคุณยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวคุณได้อีกด้วย6.เตรียมคำถามเพื่อถามHRหรือผู้สัมภาษณ์ การถามคำถามของผู้สมัคร สำคัญไม่แพ้กับการตอบคำถาม เชื่อว่าก่อนจบในการสัมภาษณ์งานทุกครั้งผู้สมัครก็มักจะเจอคำถาม “คุณมีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหม” หลาย ๆ ท่านคงตอบปฏิเสธไปว่า “ไม่มีคำถาม” รู้หรือไม่ว่าคำถามนี้ หากคุณถามคำถามได้ดีถือว่าเป็นโอกาสทองที่ดีสำหรับผู้สมัครเลยก็ว่าได้ ดังนั้นควรที่จะเตรียมคำถามสำหรับถามHR ให้เป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงคำถามที่เกี่ยวกับการซุบซิบในที่ทำงาน7.เตรียมเอกสารให้พร้อม นอกจากการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานแล้ว ในการไปสัมภาษณ์ทุกครั้ง ควรที่จะเตรียมเอกสารให้พร้อม เช่น แฟ้มสะสมผลงานResume เอกสารทางการศึกษา และเอกสารแสดงตัวตน เป็นต้น เอกสารที่เตรียมไปนั้นควรเตรียมไปเผื่อ2-3 ชุด พร้อมทั้งเซ็นรับรองให้เรียบร้อย7เทคนิคการสร้างความประทับใจในการสัมภาษณ์งาน1.พูดชัดถ้อยชัดคำ ส่งผลดีต่อบุคลิกภาพและการสื่อสารที่ดีของผู้สมัคร อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการพูด ที่สำคัญควรเรียบเรียงการตอบคำถามหรือคำพูดให้ดี2.เลือกการใช้ระดับภาษาที่เหมาะสม ควรเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารให้เหมาะสม ไม่ควรเป็นทางการจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรพูดเล่นหรือติดตลกมากเกิน เพราะจะทำให้คุณหมดความน่าเชื่อถือ3.ให้ความสำคัญกับภาษากาย ภาษากาย หรืออวัจนภาษา มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่า “คุณเป็นคนอย่างไร” หากคุณแสดงภาษากายไม่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของคุณไม่ดีไปด้วย4.ไม่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าหรือนายจ้างเก่า ในการสัมภาษณ์งานคุณไม่ควรแสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้คุณดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ อีกทั้งยังส่งผลให้คะแนนติดลบไปอีก5.ตั้งใจฟังคำถาม และเป็นผู้ฟังที่ดี ในระหว่างการสัมภาษณ์งานคุณควรที่จะตั้งใจฟังคำถามและในช่วงที่ผู้สัมภาษณ์หรือ HR อธิบายลักษณะงาน เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความสนใจในการทำงาน6.รู้จักตั้งคำถาม การสัมภาษณ์งานที่ดีนอกจากเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว คุณไม่ควรปล่อยให้ผู้สัมภาษณ์อธิบายงานหรือถามเพียงฝ่ายเดียว หากมีโอกาสได้ถามหรือผู้สัมภาษณ์เปิดโอกาสให้คุณถามคำถาม คุณควรที่จะตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อแสดงความกระตือรือร้นต่องาน7.มีสติในการตอบคำถามทุกครั้ง การมีสติช่วยให้ลดความประหม่า และความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับคุณได้ ดังนั้นคุณควรตั้งสติและคิดอย่างรอบคอบก่อนตอบคำถามทุกครั้งสรุปสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน การเตรียมตัวสัมภาษณ์งานช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สมัคร นอกจากนี้คุณสามารถประเมินความสามารถของตนเอง และปรับปรุงบุคลิกภาพขณะสัมภาษณ์งานผ่านการฝึกซ้อมได้ด้วย สุดท้ายนี้ ไม่มีการสัมภาษณ์งานใดที่ทำให้คุณเสียเวลา แม้ว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน หรือแม้กระทั่งงานดังกล่าวไม่เหมาะสมกับคุณก็ตาม การสัมภาษณ์งานทุกครั้งเป็นการเปิดโอกาสในคุณได้ฝึกฝนทักษะการพูดและการสัมภาษณ์ไปในตัวที่มา: https://www.humansoft.co.th/th/blog/prepare-for-a-job-interview
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บทบาทของการเป็นผู้นำในยุคนี้ไม่ใช่แค่เพียงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ แต่คือการสร้าง ‘ความพร้อม’ ให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านAI, ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ล้วนเป็นแรงกดดันใหม่ที่ทำให้องค์กรไม่อาจพึ่งพา “ความแข็งแกร่ง” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ความมั่นคงในวันนี้อาจเกิดขึ้นจาก “ความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างความยืดหยุ่น” อยู่เสมอปี2025 จึงเป็น ปีแห่งการลงมือทำ เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตในปี2026บทความนี้Skooldio ได้สรุป5 หลักคิดสำคัญของ Future-Ready CEO พร้อมแนวทางปฏิบัติจริงที่จะช่วยให้คุณพาองค์กรก้าวผ่านความไม่แน่นอนด้วยความมั่นใจ5 หลักคิดของผู้นำพร้อมรับปี 20261. เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ (Embrace Bold Transformation)ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว IBM ชี้ว่าCEO ต้องมีความกล้าหาญเป็นแกนหลัก กล้าที่จะโอบรับทั้งความเสี่ยงและโอกาสสร้างทีมที่กล้าลองผิดลองถูก กล้าทดลอง เรียนรู้ ปรับความเร็วให้เหมาะสม ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ เพื่อเดินหน้าต่อไป2. นำทีมใช้AI อย่างมีกลยุทธ์ (Strategically Lead the AI Revolution)AI คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รายงานจากMIT CISR ระบุว่า บริษัทที่มีบอร์ดบริหารที่เข้าใจทั้งDigital และAIสามารถสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง10.9%McKinsey ยังสรุปบทเรียนสำคัญจากWorld Economic Forum ที่Davos ว่าGenerative AI คือโอกาสที่มีมูลค่าสูงถึง4.4 ล้านล้านดอลลาร์ และมีพลังในการพลิกโฉมทั้งองค์กร แต่ความท้าทายคือมีเพียง11% ของโปรเจกต์gen AI pilots เท่านั้นที่สามารถขยายผลได้จริง (“only 11 percent of gen AI pilots actually scale”- McKinsey & Company)สิ่งที่CEO ต้องทำจึงไม่ใช่แค่ทดลองAI แต่ต้องเปลี่ยนไปสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรโดยเน้นโปรเจกต์ที่ให้ผลลัพธ์และROI ชัดเจนนอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่อง ข้อมูล เพราะข้อมูลคือรากฐานของAI หากองค์กรไม่มีโครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรงการลงทุนด้าน AI อาจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น3. สร้างองค์กรให้คล่องตัว รับมือความเปลี่ยนแปลง (Cultivate Strategic Agility in a Volatile World)ในโลกที่ผันผวนและคาดเดายาก ผู้นำควรติดตามความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เศรษฐกิจ หรือภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ฯลฯ เพื่อประเมินทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้ก่อนคู่แข่งนอกจากนี้การวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยยังรักษาความสามารถในการแข่งขันและไม่พลาดโอกาส ในตลาดเกิดใหม่ พร้อมกันนั้นยังคงเสริมความแกร่งในตลาดเดิมได้อย่างยั่งยืน4. ลงทุนในคนและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับอนาคต (Invest in Future-Ready People and Culture)Future of Jobs Report 2025 โดยWorld Economic Forum คาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นสุทธิ78 ล้านตำแหน่งภายในปี2030 แต่39% ของทักษะสำคัญจะเปลี่ยนแปลงไปดังนั้นผู้นำควรปิดช่องว่างนี้ด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงความรู้ที่เป็นเชิงทฤษฎีให้พวกเขาสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้จริงในงานนอกจากนี้อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรคือ ผู้จัดการ ที่ผู้นำจำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมไม่เพียงแค่เรื่องเครื่องมือAI แต่รวมไปถึงการพัฒนาhuman skills ต่าง ๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ, การcoaching, strategic problem-solving เป็นต้นผู้จัดการจะกลายเป็นผู้ที่ดูแลการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด5. ผสานความยั่งยืนและความยืดหยุ่น (Integrate Sustainability & Resilience)ในเดือนตุลาคม2024 PwC Pulse Survey รายงานว่า64% ของผู้บริหารมองว่า Climate Change เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจในระดับปานกลางถึงรุนแรง เพิ่มขึ้นจาก61% ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันPwC ยังระบุว่า “Sustainability unlocks enormous opportunities.”หากมองให้ลึก ความยั่งยืนยังเปิดประตูสู่ โอกาสใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในตลาดที่เกิดใหม่ การดึงดูดลูกค้าและพนักงานกลุ่มใหม่ ที่จะร่วมกันสร้างองค์กรที่ให้คุณค่ากับStakeholders อย่างแท้จริงนอกจากนี้ท่ามกลางโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการ เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรรายงานจากEY ซึ่งสำรวจcorporate directors เกือบ500 คนจาก7 ประเทศในทวีปอเมริกา พบว่าในปี2025 บอร์ดบริหารจะให้ความสำคัญกับ4 เรื่องหลัก เพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับความไม่แน่นอนและการTransformation ได้แก่:Capital StrategyTechnological Security & InnovationGeopolitical Scenario PlanningTalent Advantageจากหลักคิดสู่การปฏิบัติ: 6 สิ่งที่CEO ต้องลงมือทำการมีหลักคิดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่แยก ‘องค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต’ ออกจากองค์กรทั่วไป คือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิด ไปสู่การปฏิบัติจริงการเป็นFuture-Ready CEO จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการมองเห็นเทรนด์หรือกำหนดวิสัยทัศน์ แต่คือการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าแม้ในสภาวะที่ไม่แน่นอนรายงานจากBCG ระบุว่า มี6 action ที่CEO เท่านั้นสามารถทำได้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (Create Purpose and Clarity)CEO ต้องกำหนดและสื่อสารวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกลยุทธ์กับเป้าหมายและสิ่งที่วัดผลได้ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในองค์กร2. โฟกัส (Create Focus)แปลง ‘Vision’ ให้เป็นสิ่งที่องค์กรสามารถลงมือทำได้จริง มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญสูงสุด ทุ่มทรัพยากรและพลังงานไปยังงานที่สร้างผลลัพธ์ พร้อมทั้งรู้ว่าอะไรควรหยุดทำเพื่อไม่ให้ทีมไขว้เขว3. สร้างศักยภาพให้องค์กร (Create Capacity)สร้างศักยภาพให้ทีมและองค์กรผ่านการใช้เทคโนโลยีและ AI, การupskilling ไปพร้อม ๆ กับการดูแลใจคนในองค์กร4. สร้างแรงผลักดัน (Create Drive)สร้างแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ทีมเชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้ พร้อมสร้างความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนBCG ระบุว่า ‘Storytelling’ เป็นเครื่องมือทรงพลัง หากCEO เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่ตนได้ลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่างจริง ก็จะยิ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นั้น ย้ำให้ทีมเห็นว่ามันเป็นไปได้จริง พร้อมทั้งผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้เร็วและไกลขึ้น5. ลดความซับซ้อน (Reduce Complexity)แน่นอนว่าเมื่อธุรกิจเติบโต ความซับซ้อนก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าความซับซ้อนนั้นไม่ได้สร้างคุณค่าก็จะยิ่งถ่วงทีมให้ช้าลงCEO ต้องลดความซับซ้อนในบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่อาจทับซ้อนกันอยู่ และ ‘Align’ โปรเจกต์ต่าง ๆ กับเป้าหมายสำคัญขององค์กร เพื่อให้ทีมทำงานได้อย่างคล่องตัวและโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริง ๆ6. ลดความขัดแย้ง (Reduce Friction)Unconstructive Friction หรือความขัดแย้งที่ไม่สร้างสรรค์ในทีม เป็นสิ่งที่บั่นทอนความไว้วางใจและชะลอความก้าวหน้าขององค์กรดังนั้นCEO จึงควรเสริมสร้างวัฒนธรรมที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัย และจัดการกับความขัดแย้งอย่างตรงไปตรงมาที่มา: https://blog.skooldio.com/the-future-ready-executive-2026/
อ่านเพิ่มเติมคนยุคใหม่ใช้GenAI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวราวกับเป็นแขนขาที่สาม ภาระหน้าที่หลายอย่างที่เคยต้องเสียเวลาเป็นวันก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจหลักนาทีเพราะมีAI คอยGenerate ให้ตามคำสั่ง ขอแค่ป้อนPrompt ที่ดีพอจะให้ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจทว่าความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมประเด็นถกเถียงว่า ‘มนุษย์จะโง่ลงเพราะAI หรือเปล่า?’GenAIทำให้คนคิดน้อยลงMIT Media Lab พบว่า การทำงานของสมองลดลงเมื่อใช้LLM (Large Language Model) เทียบกับการค้นหาเว็บและการคิดเองทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้LLM มาก่อนแล้วต้องคิดเอง ก็มีแนวโน้มที่จะคิดได้น้อยลง และอาจลืมสิ่งที่เพิ่งเขียนไปเช่นเดียวกับรายงานจากMicrosoft Research ที่ได้สำรวจกลุ่มคนที่ทำงานด้านความรู้กว่า 319 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบมากกว่า70% รู้สึกว่าใช้ความพยายามทางสมองน้อยลงมากเมื่อใช้ GenAI โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและการวิเคราะห์แม้จะผลการสำรวจจะเอนเอียงไปว่าการพึ่งพา GenAI จะทำให้ใช้สมองน้อยลง แต่ก็ยังเหลือคนอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความเห็นว่า ‘พวกเขาได้ใช้ความคิดมากขึ้น’ เช่นกันAI ไม่ได้แทนที่ แต่เปลี่ยนรูปแบบนักวิจัยของMicrosoft Research ได้เตือนว่า ‘การพึ่งพาเกินพอดี’ อาจทำให้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในระยะยาวของคนเราลดลงทว่าแท้จริงแล้วGenerative AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่การคิดเชิงวิพากษ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลง ‘รูปแบบ’ ของมัน มนุษย์ยังคงต้องคิดอย่างรอบคอบในขั้นตอนต่างๆ โดยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์กำลังเปลี่ยนไปในรูปแบบใหม่ ได้แก่-การตั้งเป้าหมายและออกคำสั่ง (Prompting):เช่น การคิดว่าจะสื่อสารกับAI อย่างไรให้สร้างภาพตามจินตนาการได้-การตรวจสอบผลลัพธ์ (Inspection):ตรวจสอบว่าAI ให้ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ อ้างอิงจากแหล่งใด-การบูรณาการ (Integration):การเลือกสิ่งที่ใช้ได้จากAI แล้วปรับให้เข้ากับงานของตัวเองใช้AIให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่โง่ลงเพื่อให้การทำงานในโลกยุคGenAI คือตัวช่วยส่งเสริมศักยภาพมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่การลดระดับมันสมอง ควรใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยงานผ่านFrameworks ทั้ง5 ข้อนี้1.ถามอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ ‘ให้ช่วยคิดแทน’:ควรคิดและตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจง เช่น แทนที่จะบอกว่า ‘ช่วยคิดหัวข้อหน่อย’ ควรระบุว่า ‘ผมอยากทำหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา-เศรษฐกิจ ที่เชื่อมกับอนาคตอีสาน ช่วยแตกเป็น3 idea พร้อมจุดขาย-กลุ่มเป้าหมายได้ไหม’ การทำเช่นนี้ทำให้คุณได้ฝึกคิดและAI จะตอบสนองได้ตรงจุดมากขึ้น2.วิจารณ์ผลลัพธ์ ไม่ใช่เชื่อทันที:ตั้งคำถามเสมอว่า ผลลัพธ์ที่ได้มีอคติหรือไม่ อิงข้อมูลอะไร และคุณมีข้อมูลที่ตรงข้ามหรือไม่ การเชื่อทุกอย่างที่AI ตอบจะปิดโอกาสในการเรียนรู้ 3.AIคือเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช้ทางลัด:ใช้AI ช่วยสรุปสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ แตกประเด็นให้คุณต่อยอด หรือทวนความเข้าใจของคุณ ยิ่งคุณป้อนความคิดที่ดีเข้าไปมากเท่าไหร่AI ก็จะตอบกลับมาให้คุณฉลาดขึ้นเท่านั้น4.ให้feedback กับAIตลอดเวลา:ลองChallenge ด้วยการพิมพ์กลับไปว่า ผลลัพธ์ที่ให้มายังไม่ลึกพอ ช่วยเพิ่มเติมตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาที่มีอยู่จริงมาได้ไหม การฝึกตั้งคำถามและให้feedback จะช่วยลับคมความคิดของคุณเอง5.ใช้AI เพื่อ ‘คิดร่วม’ ไม่ใช่ ‘คิดแทน’:มองAI เป็นคู่คิดที่ดี หรือที่ปรึกษาข้างตัวคุณ คุณจะไม่โง่ลงถ้า “คิดก่อนใช้ วิเคราะห์หลังใช้ และเรียนรู้ระหว่างใช้”การใช้AI อย่างชาญฉลาดคือการที่เรา ‘รู้จักจุดแข็งของตัวเอง’ ในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ต้องใช้สัญชาตญาณ ซึ่งAI ยังทำได้ไม่ดีเท่า และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจบริบทงานที่เราทำอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะรู้ว่าส่วนไหนของงานที่AI สามารถเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ หรือทำงานแทนเราได้การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ตกเป็นแค่ผู้ใช้เครื่องมือ แต่ยังคงเป็น ‘ผู้ควบคุมและผู้สร้างสรรค์’ ตัวจริง ที่ไม่ถูกเทคโนโลยีชี้นำไปเสียก่อนที่มา : https://thestandard.co/how-to-use-ai-critical-thinking-smart/
อ่านเพิ่มเติม