Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานของไทย ได้เปิดเผยรายงาน ‘Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report’ ประจำปี2568 ซึ่งชี้ให้เห็น3 สัญญาณการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของตลาดแรงงานไทยที่ทุกองค์กรไม่อาจมองข้าม รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจผู้ประกอบการ702 รายทั่วประเทศในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม2567 เพื่อถอดรหัสความเปลี่ยนแปลงและนำเสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์ให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจหลังจากปี2567 ซึ่งเป็นช่วงที่หลายองค์กรต้องปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจ รายงานHCB ปี2568 ชี้ว่าตลาดแรงงานได้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า53% ขององค์กรที่สำรวจมีแผนจะจ้างพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ตำแหน่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี2568อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน องค์กรจำนวนมากหันมาใช้กลยุทธ์การจ้างงานแบบPart-time และสัญญาจ้างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ พบว่าการจ้างงานแบบ ‘Part-time Permanent’ เพิ่มขึ้นจาก20% เป็น42% ขณะที่ ‘Contract Part-time’ เพิ่มจาก19% เป็น28% แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่ภาพรวมตลาดแรงงานไทยยังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียง1%ในมิติของสวัสดิการและผลตอบแทน องค์กรยุคใหม่กำลังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติมากขึ้น รายงานชี้ว่าในปี2568 องค์กรมีแนวโน้มจะเพิ่มสวัสดิการประเภทวันลาพิเศษมากขึ้น เช่น ลาวันเกิด, ลาสำหรับบิดาเพื่อดูแลบุตร และลาดูแลครอบครัว ซึ่งมีทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ15% นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนครอบครัว เช่น การจัดห้องให้นมบุตรและเบี้ยเลี้ยงด้านการศึกษาด้านค่าตอบแทน พบว่า85% ขององค์กรมีการปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่84% มีการจ่ายโบนัสโดยเฉลี่ยอยู่ที่2 เดือน เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของบุคลากร การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรในระยะยาวสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องของทักษะด้าน AI ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะจาก ‘ทักษะทางเลือก’ ไปสู่ ‘ทักษะบังคับ’ สำหรับแรงงานยุคใหม่ องค์กรกว่า65% ระบุว่ามีการพิจารณาทักษะAI ของผู้สมัครในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานแล้ว และ26% มองว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงาน โดยวิธีการประเมินทักษะมีทั้งการสัมภาษณ์โดยตรง (51%), การพิจารณาจากแฟ้มผลงาน (42%) และการใช้แบบทดสอบเฉพาะทาง (33%)ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการJobsdb by SEEKกล่าวสรุปว่า “ปี2568ถือเป็นปีแห่งการปรับกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน องค์กรในประเทศไทยต่างเริ่มปรับตัวเพื่อให้ทันกับความคาดหวังของแรงงานยุคใหม่ ทั้งในด้านรูปแบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สวัสดิการที่ครอบคลุมคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไปจนถึงทักษะใหม่อย่างAI ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการจ้างงาน”ที่น่าสนใจคือ องค์กรเองก็เริ่มนำAI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรมากขึ้นเช่นกัน โดย34% ขององค์กรที่สำรวจเริ่มนำAI มาช่วยในการเขียนประกาศงานและคัดกรองใบสมัครแล้ว สิ่งนี้สะท้อนว่าAI ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนในตลาดแรงงาน ไม่ใช่แค่เพียงสายงานเทคโนโลยีอีกต่อไปที่มา : https://thestandard.co/thailand-job-market-2025-flexible-hiring-ai-skills/
อ่านเพิ่มเติม1. เลือกเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่าที่สุด ในสายงานนั้นๆในขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือ เมื่อคุณคิดว่าคุณมีประสบการณ์ทำงานมากพอที่จะเขียนลงไปในเรซูเม่ของตัวเองแล้วล่ะก็ ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะเขียนลงไปมันมีค่าในสายตาของผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งก็คือพนักงานสรรหาบุคลากร และผู้ที่จะสัมภาษณ์งานคุณ ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะเป็น Supervisor หรือผู้จัดการ หรือหัวหน้าในสายงานของคุณนั่นเอง อย่าเขียนประสบการณ์ดาดๆที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ แต่ให้เลือกเขียนเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่ามากๆก็พอ2. เน้นประสบการณ์ที่ได้รับการยกย่อง หรือรางวัล (Achievement)ถ้าหากคุณได้รับรางวัลอะไรในสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือผลงานของทีม ไม่ว่ารางวัลนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน นี่แหล่ะคือสิ่งที่มีค่ามากๆที่ควรจะเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่ถ้าคุณมีรางวัลมากล่ะก็ เลือกเขียนอันที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วเรียงลำดับลงมาตามความสำคัญนะครับ3. ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเคส หรือลูกค้าที่โด่งดังในสายงานของคุณในทุกๆสายงานย่อมจะรู้จักกันเองข้ามบริษัท ไม่มากก็น้อย ดั่งคำพูดที่ว่า "วงการมันแคบกว่าที่คิด" ซึ่งสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวงการเลยล่ะ ถ้าคุณมีประสบการณ์เคยทำงานในเคสที่ใหญ่ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าที่ใครๆก็บอกว่าเป็นตัวแม่ของวงการแล้ว หรือมีแต่รายชื่อลูกค้าดังๆแล้วล่ะก็ คุณเองก็จะเนื้อหอมเอามากๆเลย ใครๆก็สนใจอยากจะสัมภาษณ์คุณ4. ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเด่น? ลองเขียนสิ่งที่ทำผ่านมาตรฐานดูสิครับในบางสายงาน อย่างเช่น งานวิศวกร ที่คุณไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่คุณเป็นฟันเฟืองของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ คุณสามารถเขียนสิ่งที่คุณทำแล้วผ่านมาตรฐานต่างๆดูสิครับ สิ่งนี้เองก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้าสายงานอื่นๆเลยครับ มาตรฐานนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่มาตรฐานระดับโลกอย่าง ISO ลงมาจนถึงมาตรฐานของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ได้เลย ขอเพียงเขียนชื่อมาตรฐานให้ถูก อย่าสะกดผิด หรืออย่าเขียนลอยๆว่า "มาตรฐาน" เฉยๆโดยที่ไม่ได้ใส่ชื่อให้มันก็พอ5. เขียนประสบการณ์ทำงานเรียงเป็นลำดับ เอาล่าสุดขึ้นก่อนประสบการณ์ทำงานในเรซูเม่เป็นแบบ เรียงตามเวลา โดยเอาอันล่าสุดขึ้นก่อน ส่วนของเก่าก็อยู่ล่างๆ เรียงกับอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์แฝงอยู่หลายข้อด้วยกัน นอกจากเพื่อที่จะให้อ่านง่ายแล้ว ผู้ที่อ่านเรซูเม่ของคุณยังมองว่าคุณมีความสามารถในการจัดระเบียบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย6. เน้นคีย์เวิร์ด (คำค้น) ให้ชัดเจนเมื่อคุณเขียนเรซูเม่ของตัวเองและนำไปใช้ต่อ จะส่งให้ HR โดยตรง หรืออัพโหลดขึ้นเว็บไซท์สมัครงานต่างๆ คุณจะต้องคำนึงด้วยว่าพนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากร จะค้นหาเจอเรซูเม่ของคุณได้อย่างไร ในกองเรซูเม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครเขาหยิบเรซูเม่มากองละหมื่นใบ แล้วมาอ่านกัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบดิจิทัลกันแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาคำต่างๆที่ต้องการได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือทำให้เรซูเม่ของตัวเอง สามารถค้นหาได้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือแปลงเป็น PDF เท่านั้น ถ้าหากคุณส่งเป็นกระดาษ หรือทำเป็นรูปไปล่ะก็มันจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์คไม่ได้ คุณก็จะเสียเปรียบตรงนี้ไปอย่างมหาศาลเลยล่ะถ้าต้องกรอกข้อมูลใหม่ ก็กรอกให้ครบ อย่าให้ขาด คนส่วนมากมักจะคิดว่าก็ส่งเรซูเม่ให้แล้ว ทำไมไม่อ่าน ทำไมยังต้องกรอกอีก ที่กรอกทั้งหมดนี้สามารถใช้ค้นหาได้อย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ ถ้าคุณปล่อยว่างๆแล้วล่ะก็ เสียดายนะครับสะกดให้ถูก ใช้คำให้ถูก บางคำมีชื่อภาษาอังกฤษ ก็ใส่ไปเลยทั้งอังกฤษ ทั้งไทย เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะถูกค้นหาเจอเช่นถ้าคุณเป็นนักบัญชี และคุณเคยทำงานด้านตรวจบัญชีมาก่อน ก็ให้ว่า Audit หรือ Auditor ในภาษาอังกฤษ แล้วถ้าใส่คำภาษาไทยว่า "นักตรวจสอบบัญชี" ด้วยแล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหามากขึ้นไปอีกครับ7. เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ลองเขียนเรื่องการฝึกงานดูสิถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานแล้วล่ะก็ ให้เขียนประสบการณ์ที่ได้รับตอนฝึกงานลงไปแทน หรือถ้าตอนเรียนคุณได้ทำงาน เฉพาะที่เกี่ยวข้องสายงานนะครับ ก็สามารถเขียนลงไปได้ เช่นถ้าคุณเรียนจบด้านสถาปนิกมา และต้องการสมัครงานสถาปนิก โดยที่ตอนเรียนอยู่เคยทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัทออกแบบโครงสร้างอาคารแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นพนักงานเดินเอกสาร ก็ใส่มันลงไปเถอะครับที่สำคัญก็คือ อย่าใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เพื่อแค่ให้เรซูเม่ดูเต็มๆ หรือมีอะไรเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้พนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากรมองว่า คุณยังไม่ได้สนใจในสายงานนั้นๆขนาดนั้น แล้วก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเด็กจบใหม่อีกคนที่เขียนประสบการณ์ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า8. ข้อมูลที่ดี มีการจัดระเบียบที่ดี มีค่ามากกว่าเรซูเม่สวยๆหลายๆคนก็คงจะเคย โหลดธีมเรซูเม่สวยๆ มาใช้บ้าง ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องจริงที่ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ แต่สวยแล้ว จะต้องมีข้อมูลที่ดี และการจัดระเบียบข้อมูลให้อ่านง่ายสบายตา ถือว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีกว่าสวยอย่างเดียวมากหลายสิบเท่าตัวเลยครับ ดังนั้นจัดระเบียบข้อมูลให้ดีๆนะครับที่มา : www.bestjob.com
อ่านเพิ่มเติมการสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้สมัครงานทุกคนต้องเผชิญ บทความนี้จะแนะนำคำถามยอดฮิตที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน พร้อมแนวทางการตอบเพื่อสร้างความประทับใจ1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังหน่อยวัตถุประสงค์: เพื่อทำความรู้จักตัวตนและประสบการณ์ของผู้สมัครแนวทางการตอบ: แนะนำตัวเองโดยย่อ เน้นประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่อสมชาย จบปริญญาตรีสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัย ABC ปัจจุบันมีประสบการณ์ทำงาน 3 ปีในตำแหน่งนักการตลาดดิจิทัล และสามารถช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัท XYZ ได้ถึง 20% ภายใน 6 เดือน"2. ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแรงจูงใจของผู้สมัครแนวทางการตอบ: พูดถึงแรงบันดาลใจและความชื่นชมต่อองค์กรและตำแหน่งงาน พร้อมระบุว่าคุณสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับทีมได้ตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่นชมวิสัยทัศน์ของบริษัทในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และมองว่าทักษะด้านการวิเคราะห์การตลาดของผมสามารถสนับสนุนเป้าหมายของทีมได้"3. คุณมีจุดแข็งอะไรบ้าง?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความสามารถที่โดดเด่นของผู้สมัครแนวทางการตอบ: ระบุจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พร้อมอธิบายด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างการตอบ:"หนึ่งในจุดแข็งของผมคือการสื่อสาร ผมเคยประสานงานระหว่างทีมวิจัยและการตลาดเพื่อพัฒนาแผนการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้า"4. จุดอ่อนของคุณคืออะไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูว่าผู้สมัครรู้จักตัวเองดีแค่ไหนแนวทางการตอบ: เล่าจุดอ่อนที่ไม่กระทบงานมากนัก พร้อมบอกวิธีแก้ไขหรือพัฒนาตัวเองตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยมีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญ แต่ปัจจุบันได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือจัดการงาน เช่น Trello เพื่อช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"5. ทำไมเราควรจ้างคุณ?วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้สมัครแสดงคุณค่าของตัวเองแนวทางการตอบ: อธิบายว่าทำไมคุณเหมาะสมกับงาน ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และความตั้งใจตัวอย่างการตอบ:"ผมมีประสบการณ์ตรงในงานด้านนี้ และสามารถเริ่มทำงานได้ทันที นอกจากนี้ ผมยังมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร"6. คุณเคยเผชิญความล้มเหลวหรือไม่? คุณจัดการอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูวิธีการรับมือกับปัญหาแนวทางการตอบ: เล่าประสบการณ์ความล้มเหลว พร้อมบอกสิ่งที่คุณเรียนรู้และพัฒนาจากเหตุการณ์นั้นตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยล้มเหลวในการบริหารโครงการที่ใหญ่เกินกำลัง แต่จากประสบการณ์นั้นทำให้ผมเรียนรู้การจัดการเวลาและแบ่งงานอย่างมีประสิทธิภาพ"7. คุณมีเป้าหมายในอาชีพอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความมุ่งมั่นในสายงานแนวทางการตอบ: บอกเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับตำแหน่งและองค์กรตัวอย่างการตอบ:"เป้าหมายระยะสั้นของผมคือการเรียนรู้ระบบภายในองค์กร และเป้าหมายระยะยาวคือการเติบโตในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด"8. คุณทำงานภายใต้ความกดดันได้หรือไม่?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสามารถในการจัดการอารมณ์แนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่คุณจัดการความกดดันได้ดี พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นบวกตัวอย่างการตอบ:"ในช่วงที่ต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ ผมจัดการงานด้วยการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์คือเราส่งงานได้ตรงเวลาและได้รับคำชมจากลูกค้า"9. คุณมีคำถามอะไรสำหรับเรา?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสนใจและการเตรียมตัวของผู้สมัครแนวทางการตอบ: เตรียมคำถามที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือวัฒนธรรมองค์กรตัวอย่างคำถาม:"บริษัทมีโอกาสให้พนักงานพัฒนาทักษะเพิ่มเติม เช่น การฝึกอบรม หรือเวิร์กช็อปหรือไม่?"10. คุณเคยทำงานเป็นทีมอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างโครงการที่คุณทำงานเป็นทีม พร้อมบอกบทบาทและผลลัพธ์ที่สำเร็จตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยทำงานในโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผมรับหน้าที่ประสานงานระหว่างทีมวิจัยและทีมการตลาด และสามารถส่งงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย"ที่มา : www.jobth.com
อ่านเพิ่มเติม