การสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้สมัครงานทุกคนต้องเผชิญ บทความนี้จะแนะนำคำถามยอดฮิตที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน พร้อมแนวทางการตอบเพื่อสร้างความประทับใจ1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังหน่อยวัตถุประสงค์: เพื่อทำความรู้จักตัวตนและประสบการณ์ของผู้สมัครแนวทางการตอบ: แนะนำตัวเองโดยย่อ เน้นประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่อสมชาย จบปริญญาตรีสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัย ABC ปัจจุบันมีประสบการณ์ทำงาน 3 ปีในตำแหน่งนักการตลาดดิจิทัล และสามารถช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัท XYZ ได้ถึง 20% ภายใน 6 เดือน"2. ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแรงจูงใจของผู้สมัครแนวทางการตอบ: พูดถึงแรงบันดาลใจและความชื่นชมต่อองค์กรและตำแหน่งงาน พร้อมระบุว่าคุณสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับทีมได้ตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่นชมวิสัยทัศน์ของบริษัทในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และมองว่าทักษะด้านการวิเคราะห์การตลาดของผมสามารถสนับสนุนเป้าหมายของทีมได้"3. คุณมีจุดแข็งอะไรบ้าง?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความสามารถที่โดดเด่นของผู้สมัครแนวทางการตอบ: ระบุจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พร้อมอธิบายด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างการตอบ:"หนึ่งในจุดแข็งของผมคือการสื่อสาร ผมเคยประสานงานระหว่างทีมวิจัยและการตลาดเพื่อพัฒนาแผนการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้า"4. จุดอ่อนของคุณคืออะไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูว่าผู้สมัครรู้จักตัวเองดีแค่ไหนแนวทางการตอบ: เล่าจุดอ่อนที่ไม่กระทบงานมากนัก พร้อมบอกวิธีแก้ไขหรือพัฒนาตัวเองตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยมีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญ แต่ปัจจุบันได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือจัดการงาน เช่น Trello เพื่อช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"5. ทำไมเราควรจ้างคุณ?วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้สมัครแสดงคุณค่าของตัวเองแนวทางการตอบ: อธิบายว่าทำไมคุณเหมาะสมกับงาน ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และความตั้งใจตัวอย่างการตอบ:"ผมมีประสบการณ์ตรงในงานด้านนี้ และสามารถเริ่มทำงานได้ทันที นอกจากนี้ ผมยังมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร"6. คุณเคยเผชิญความล้มเหลวหรือไม่? คุณจัดการอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูวิธีการรับมือกับปัญหาแนวทางการตอบ: เล่าประสบการณ์ความล้มเหลว พร้อมบอกสิ่งที่คุณเรียนรู้และพัฒนาจากเหตุการณ์นั้นตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยล้มเหลวในการบริหารโครงการที่ใหญ่เกินกำลัง แต่จากประสบการณ์นั้นทำให้ผมเรียนรู้การจัดการเวลาและแบ่งงานอย่างมีประสิทธิภาพ"7. คุณมีเป้าหมายในอาชีพอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความมุ่งมั่นในสายงานแนวทางการตอบ: บอกเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับตำแหน่งและองค์กรตัวอย่างการตอบ:"เป้าหมายระยะสั้นของผมคือการเรียนรู้ระบบภายในองค์กร และเป้าหมายระยะยาวคือการเติบโตในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด"8. คุณทำงานภายใต้ความกดดันได้หรือไม่?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสามารถในการจัดการอารมณ์แนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่คุณจัดการความกดดันได้ดี พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นบวกตัวอย่างการตอบ:"ในช่วงที่ต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ ผมจัดการงานด้วยการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์คือเราส่งงานได้ตรงเวลาและได้รับคำชมจากลูกค้า"9. คุณมีคำถามอะไรสำหรับเรา?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสนใจและการเตรียมตัวของผู้สมัครแนวทางการตอบ: เตรียมคำถามที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือวัฒนธรรมองค์กรตัวอย่างคำถาม:"บริษัทมีโอกาสให้พนักงานพัฒนาทักษะเพิ่มเติม เช่น การฝึกอบรม หรือเวิร์กช็อปหรือไม่?"10. คุณเคยทำงานเป็นทีมอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างโครงการที่คุณทำงานเป็นทีม พร้อมบอกบทบาทและผลลัพธ์ที่สำเร็จตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยทำงานในโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผมรับหน้าที่ประสานงานระหว่างทีมวิจัยและทีมการตลาด และสามารถส่งงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย"ที่มา : www.jobth.com
อ่านเพิ่มเติมผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาวะผู้นำที่ศึกษาจิตวิทยาการทำงานมากว่า 30 ปี และให้คำปรึกษาซีอีโอองค์กรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ เผยว่าบุคลิกภาพที่โดดเด่นที่สุดในการทำงานคือ แอมบิเวิร์ต (Ambivert)โดยนี่เป็นคนที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างคนเก็บตัว (Introvert) และคนเปิดเผย (Extrovert) ทำให้สามารถใช้จุดแข็งของทั้งสองด้านได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพแอมบิเวิร์ตมักเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย พวกเขามีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการสร้างเครือข่ายรอบตัวเพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ความสามารถในการปรับตัวและเข้าใจผู้อื่นทำให้พวกเขามักได้รับการยอมรับและสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน8 สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณเป็นแอมบิเวิร์ต ได้แก่ การเลือกเข้าสังคมอย่างมีเป้าหมาย โดยไม่ใช่แค่เข้าร่วมทุกงานแต่เลือกเฉพาะโอกาสที่สอดคล้องกับเป้าหมาย คุณค่า และระดับพลังงานของตนเอง ทำให้สามารถทุ่มเทและมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ในทุกการปฏิสัมพันธ์พวกเขายังใช้เวลาอยู่คนเดียวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่พักผ่อนแต่ใช้เวลานั้นในการประมวลผล สะท้อนความคิด และวางแผน ทำให้กลับมาพร้อมกับมุมมองและไอเดียใหม่ๆ ที่สดใหม่อยู่เสมอนอกจากนี้ ยังสามารถสื่อสารได้ดีทั้งกับคนเก็บตัวและคนเปิดเผย ปรับตัวเข้ากับพลังงานและความชอบของแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติจุดเด่นอีกประการของแอมบิเวิร์ตคือการรู้จังหวะในการนำและถอย สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีแต่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่ควรให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความสามารถ พวกเขาพูดเพื่อสร้างความก้าวหน้าไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย ต่างจากคนเปิดเผยที่มักพูดเมื่อไม่ควรพูด และคนเก็บตัวที่มักไม่พูดเมื่อควรพูดสำหรับคนเปิดเผยที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นแอมบิเวิร์ต ควรฝึกทักษะการอยู่กับความเงียบและการใคร่ครวญมากขึ้น โดยเริ่มจากการนับ1-3 ก่อนตอบในการสนทนา เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและทำให้คำตอบของเรามีความรอบคอบมากขึ้นนอกจากนี้ ยังสามารถฝึกสังเกตการณ์แบบเงียบๆ ในที่ประชุมหรือกลุ่มสังคม สังเกตว่าใครพูด ใครฟัง และการตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาอยู่คนเดียววันละ30 นาทีเพื่อทบทวนความคิดและวางแผนขั้นตอนต่อไปส่วนคนเก็บตัว สามารถพัฒนาตัวเองโดยการเตรียมประเด็นที่ต้องการพูดในที่ประชุมล่วงหน้า1-2 ประเด็น และตั้งใจว่าจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย วิธีนี้จะช่วยลดความกังวลในการพูดต่อหน้าผู้อื่นโดยหลังจากพบปะผู้อื่นควรติดตามผลด้วยการส่งอีเมลหรือข้อความ โดยอ้างอิงถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันและขอบคุณสำหรับเวลา และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาพักผ่อนอย่างมีเป้าหมายทุกวันเพื่อวิเคราะห์การมีปฏิสัมพันธ์และวางแผนสำหรับวันต่อไป“การเป็นแอมบิเวิร์ตช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความคิดภายในและการมีปฏิสัมพันธ์ภายนอกได้อย่างสมดุลและมีกลยุทธ์” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว พร้อมชี้ว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามักประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีบุคลิกแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพราะในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและใช้จุดแข็งที่หลากหลายคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มา: https://thestandard.co/ambivert-personality-successful-business-leaders/
อ่านเพิ่มเติมทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน ตามรายงานล่าสุดจากLinkedIn แพลตฟอร์มหางานชื่อดังที่เพิ่งเปิดเผยรายงาน ‘Skills on the Rise 2025’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม จนทำให้Andrew McCaskill ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ LinkedIn กล่าวว่า การเรียกทักษะเหล่านี้ว่าSoft Skills นั้นล้าสมัยไปแล้ว“เราไม่ให้ความสำคัญกับทักษะเหล่านี้เท่าที่ควรด้วยการเรียกมันว่า Soft Skills” McCaskill กล่าว “ทักษะที่เน้นความเป็นมนุษย์เหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงในแง่ของวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับทักษะที่คุณจะต้องใช้และพัฒนาในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ”ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังโควิด พบว่า7 จาก10 ทักษะยอดนิยมในการศึกษาเป็นทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่หลายของAI ซึ่งครองอีก 2 อันดับใน10 อันดับแรกMcCaskill กล่าวว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่AI เลียนแบบได้ยากกว่าการศึกษานี้วัดจำนวนผู้ใช้LinkedIn ที่เพิ่มทักษะในโปรไฟล์ของตน สัดส่วนของสมาชิกที่ได้รับการจ้างงานที่มีทักษะนั้น และจำนวนครั้งที่ทักษะถูกระบุในประกาศรับสมัครงาน จากนั้นจึงเปรียบเทียบยอดรวมเหล่านั้นกับปีก่อนหน้าทักษะการบรรเทาความขัดแย้ง (Conflict Mitigation) ขึ้นแท่นเป็นทักษะที่มาแรงที่สุด ตามมาด้วยความสามารถในการปรับตัว (Adaptability), ความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking), การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking), การขายโดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหา (Solution-Based Selling), การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนลูกค้า (Customer Engagement and Support) และการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Management)ปัจจัยที่ทำให้ทักษะการบรรเทาความขัดแย้งขึ้นมาเป็นที่ต้องการมากที่สุดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน การศึกษาล่าสุดจากHarris Poll และExpress Employment Professionals ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรม ‘เป็นพิษ’ (Toxic) ในสำนักงานกำลังเพิ่มขึ้น และ30% ของผู้หางานในสหรัฐฯ รายงานว่าเพื่อนร่วมงานมีท่าทีชอบโต้เถียงและปะทะคารมกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง3 ปีก่อนMcCaskill เชื่อว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งในสังคมที่มีมากขึ้น การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศหลังโควิด และความแตกต่างระหว่างคนต่างรุ่น เขากล่าวว่า “คนที่สามารถรักษาความสงบท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง คนที่รักษาความเป็นมืออาชีพได้แม้ในช่วงวิกฤต คนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้เปรียบในตลาดแรงงาน”สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเอ็กซ์โทรเวิร์ต การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ทักษะอย่างการพูดในที่สาธารณะอาจฟังดูน่ากลัว แต่McCaskill แนะนำว่า ควรมองที่การนำเสนอSoft Skills ในแบบที่เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน“ไม่มีใครบอกว่าคุณต้องออกไปเปิดตัวเองแบบสุดขั้ว แม้คุณจะเป็นคนเก็บตัว คุณก็ยังสามารถหาวิธีสื่อสารความกระตือรือร้นในแบบของคุณได้” อย่างเช่นหลังการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะเงียบหาย คุณอาจส่งอีเมลขอบคุณสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสนใจในตำแหน่งงานนั้นสำหรับการแสดงSoft Skills ในการสมัครงานMcCaskill แนะนำให้ระบุทักษะเหล่านี้ลงในเรซูเมและเตรียมตัวอย่างเฉพาะสำหรับการสัมภาษณ์ อีกทั้งควรสามารถจับสัญญาณเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังประเมินSoft Skills ของคุณ“เมื่อพวกเขาถามว่า ‘เล่าให้ฟังเกี่ยวกับครั้งที่คุณแก้ปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่’ พวกเขากำลังประเมินความสามารถในการคิดนอกกรอบและสร้างแนวทางใหม่ๆ ของคุณจริงๆ” เขากล่าวในยุคที่AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์กลับยิ่งทวีความสำคัญ และกลายเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่อย่างแท้จริงที่มา: https://thestandard.co/human-skills-negotiation-2025/
อ่านเพิ่มเติม