เว็บไซต์ Amata Jobs Online จัดทำขึ้นโดย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ อมตะ (AMATA) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี และ ระยอง มีโรงงานประกอบกิจการกว่า 1,100 แห่ง สามารถสร้างอาชีพให้กับคนในประเทศมากกว่า 250,000 อัตรา ถือว่าเป็นตลาดงานใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สร้างเรซูเม่สมัครงานฟรี ให้คุณยืนหนึ่งด้วยการนำเสนอตัวตนที่โดดเด่น เพิ่มโอกาสให้คุณได้งาน สร้างเรซูเม่ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย ทำเรซูเม่ที่สวยงาม และใช้งานได้จริง หมดปัญหากับการสร้างเรซูเม่ที่สวย แต่ส่งไปสมัครงานแล้วแป๊กทุกที พร้อมถึงระบบช่วยกรอกเรซูเม่ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจในทุกส่วนของข้อมูลเรซูเม่ และสามารถกรอก ข้อมูลได้ละเอียดที่สุด
สร้างเรซูเม่อมตะซิตี้ ชลบุรี
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาวะผู้นำที่ศึกษาจิตวิทยาการทำงานมากว่า 30 ปี และให้คำปรึกษาซีอีโอองค์กรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ เผยว่าบุคลิกภาพที่โดดเด่นที่สุดในการทำงานคือ แอมบิเวิร์ต (Ambivert)โดยนี่เป็นคนที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างคนเก็บตัว (Introvert) และคนเปิดเผย (Extrovert) ทำให้สามารถใช้จุดแข็งของทั้งสองด้านได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพแอมบิเวิร์ตมักเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย พวกเขามีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการสร้างเครือข่ายรอบตัวเพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ความสามารถในการปรับตัวและเข้าใจผู้อื่นทำให้พวกเขามักได้รับการยอมรับและสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน8 สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณเป็นแอมบิเวิร์ต ได้แก่ การเลือกเข้าสังคมอย่างมีเป้าหมาย โดยไม่ใช่แค่เข้าร่วมทุกงานแต่เลือกเฉพาะโอกาสที่สอดคล้องกับเป้าหมาย คุณค่า และระดับพลังงานของตนเอง ทำให้สามารถทุ่มเทและมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ในทุกการปฏิสัมพันธ์พวกเขายังใช้เวลาอยู่คนเดียวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่พักผ่อนแต่ใช้เวลานั้นในการประมวลผล สะท้อนความคิด และวางแผน ทำให้กลับมาพร้อมกับมุมมองและไอเดียใหม่ๆ ที่สดใหม่อยู่เสมอนอกจากนี้ ยังสามารถสื่อสารได้ดีทั้งกับคนเก็บตัวและคนเปิดเผย ปรับตัวเข้ากับพลังงานและความชอบของแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติจุดเด่นอีกประการของแอมบิเวิร์ตคือการรู้จังหวะในการนำและถอย สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีแต่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่ควรให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความสามารถ พวกเขาพูดเพื่อสร้างความก้าวหน้าไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย ต่างจากคนเปิดเผยที่มักพูดเมื่อไม่ควรพูด และคนเก็บตัวที่มักไม่พูดเมื่อควรพูดสำหรับคนเปิดเผยที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นแอมบิเวิร์ต ควรฝึกทักษะการอยู่กับความเงียบและการใคร่ครวญมากขึ้น โดยเริ่มจากการนับ1-3 ก่อนตอบในการสนทนา เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและทำให้คำตอบของเรามีความรอบคอบมากขึ้นนอกจากนี้ ยังสามารถฝึกสังเกตการณ์แบบเงียบๆ ในที่ประชุมหรือกลุ่มสังคม สังเกตว่าใครพูด ใครฟัง และการตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาอยู่คนเดียววันละ30 นาทีเพื่อทบทวนความคิดและวางแผนขั้นตอนต่อไปส่วนคนเก็บตัว สามารถพัฒนาตัวเองโดยการเตรียมประเด็นที่ต้องการพูดในที่ประชุมล่วงหน้า1-2 ประเด็น และตั้งใจว่าจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย วิธีนี้จะช่วยลดความกังวลในการพูดต่อหน้าผู้อื่นโดยหลังจากพบปะผู้อื่นควรติดตามผลด้วยการส่งอีเมลหรือข้อความ โดยอ้างอิงถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันและขอบคุณสำหรับเวลา และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาพักผ่อนอย่างมีเป้าหมายทุกวันเพื่อวิเคราะห์การมีปฏิสัมพันธ์และวางแผนสำหรับวันต่อไป“การเป็นแอมบิเวิร์ตช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความคิดภายในและการมีปฏิสัมพันธ์ภายนอกได้อย่างสมดุลและมีกลยุทธ์” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว พร้อมชี้ว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามักประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีบุคลิกแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพราะในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและใช้จุดแข็งที่หลากหลายคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มา: https://thestandard.co/ambivert-personality-successful-business-leaders/
อ่านเพิ่มเติมทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน ตามรายงานล่าสุดจากLinkedIn แพลตฟอร์มหางานชื่อดังที่เพิ่งเปิดเผยรายงาน ‘Skills on the Rise 2025’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม จนทำให้Andrew McCaskill ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ LinkedIn กล่าวว่า การเรียกทักษะเหล่านี้ว่าSoft Skills นั้นล้าสมัยไปแล้ว“เราไม่ให้ความสำคัญกับทักษะเหล่านี้เท่าที่ควรด้วยการเรียกมันว่า Soft Skills” McCaskill กล่าว “ทักษะที่เน้นความเป็นมนุษย์เหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงในแง่ของวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับทักษะที่คุณจะต้องใช้และพัฒนาในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ”ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังโควิด พบว่า7 จาก10 ทักษะยอดนิยมในการศึกษาเป็นทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่หลายของAI ซึ่งครองอีก 2 อันดับใน10 อันดับแรกMcCaskill กล่าวว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่AI เลียนแบบได้ยากกว่าการศึกษานี้วัดจำนวนผู้ใช้LinkedIn ที่เพิ่มทักษะในโปรไฟล์ของตน สัดส่วนของสมาชิกที่ได้รับการจ้างงานที่มีทักษะนั้น และจำนวนครั้งที่ทักษะถูกระบุในประกาศรับสมัครงาน จากนั้นจึงเปรียบเทียบยอดรวมเหล่านั้นกับปีก่อนหน้าทักษะการบรรเทาความขัดแย้ง (Conflict Mitigation) ขึ้นแท่นเป็นทักษะที่มาแรงที่สุด ตามมาด้วยความสามารถในการปรับตัว (Adaptability), ความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking), การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking), การขายโดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหา (Solution-Based Selling), การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนลูกค้า (Customer Engagement and Support) และการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Management)ปัจจัยที่ทำให้ทักษะการบรรเทาความขัดแย้งขึ้นมาเป็นที่ต้องการมากที่สุดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน การศึกษาล่าสุดจากHarris Poll และExpress Employment Professionals ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรม ‘เป็นพิษ’ (Toxic) ในสำนักงานกำลังเพิ่มขึ้น และ30% ของผู้หางานในสหรัฐฯ รายงานว่าเพื่อนร่วมงานมีท่าทีชอบโต้เถียงและปะทะคารมกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง3 ปีก่อนMcCaskill เชื่อว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งในสังคมที่มีมากขึ้น การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศหลังโควิด และความแตกต่างระหว่างคนต่างรุ่น เขากล่าวว่า “คนที่สามารถรักษาความสงบท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง คนที่รักษาความเป็นมืออาชีพได้แม้ในช่วงวิกฤต คนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้เปรียบในตลาดแรงงาน”สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเอ็กซ์โทรเวิร์ต การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ทักษะอย่างการพูดในที่สาธารณะอาจฟังดูน่ากลัว แต่McCaskill แนะนำว่า ควรมองที่การนำเสนอSoft Skills ในแบบที่เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน“ไม่มีใครบอกว่าคุณต้องออกไปเปิดตัวเองแบบสุดขั้ว แม้คุณจะเป็นคนเก็บตัว คุณก็ยังสามารถหาวิธีสื่อสารความกระตือรือร้นในแบบของคุณได้” อย่างเช่นหลังการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะเงียบหาย คุณอาจส่งอีเมลขอบคุณสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสนใจในตำแหน่งงานนั้นสำหรับการแสดงSoft Skills ในการสมัครงานMcCaskill แนะนำให้ระบุทักษะเหล่านี้ลงในเรซูเมและเตรียมตัวอย่างเฉพาะสำหรับการสัมภาษณ์ อีกทั้งควรสามารถจับสัญญาณเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังประเมินSoft Skills ของคุณ“เมื่อพวกเขาถามว่า ‘เล่าให้ฟังเกี่ยวกับครั้งที่คุณแก้ปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่’ พวกเขากำลังประเมินความสามารถในการคิดนอกกรอบและสร้างแนวทางใหม่ๆ ของคุณจริงๆ” เขากล่าวในยุคที่AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์กลับยิ่งทวีความสำคัญ และกลายเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่อย่างแท้จริงที่มา: https://thestandard.co/human-skills-negotiation-2025/
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในหลายด้านของชีวิตประจำวัน หนึ่งในนั้นคือกระบวนการหางานและการสมัครงาน รายงานแนวโน้มตลาดปี2025 จากบริษัทจัดหางานCareer Group Companies ระบุว่า ประมาณ65% ของผู้สมัครงานใช้AI ในหลายขั้นตอนของกระบวนการสมัครงาน ได้แก่19% ใช้AI ในการเขียนประวัติย่อ (resume)20% ใช้ในการเขียนจดหมายสมัครงาน9% ใช้ในการสร้างภาพถ่ายโปรไฟล์7% ใช้ในการฝึกสัมภาษณ์5% ใช้ในการสร้างตัวอย่างผลงาน5% ใช้ในการให้คำแนะนำด้านอาชีพนายจ้างตั้งข้อสงสัย การใช้AI ช่วยสมัครงานผิดจริยธรรมไหม?จิลเลียน ลอว์เรนซ์ (Jillian Lawrence) รองประธานอาวุโสของCareer Group Companies เปิดเผยมุมมองกับCNBC Make It ว่า เธอได้เห็นการใช้งานAI พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา และคิดว่าวัยทำงานยุคนี้กำลังมองหาใช้วิธีการสมัครงานที่ชาญฉลาดขึ้น ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะสนใจหรือลองใช้AI มาช่วยในขั้นตอนการสมัครงานอย่างไรก็ตาม การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ จากการศึกษาของZety ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอาชีพและการหางาน (เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว) ชี้ว่า42% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลมองว่า การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางจริยธรรม ความกังวลเหล่านี้เพิ่มขึ้นเมื่อAI ถูกนำมาใช้ในการประเมินทักษะของผู้สมัครงาน โดยมากกว่าสองในสามของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้AI ในด้านนี้จัสมิน เอสคาเลรา (Jasmine Escalera) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจากZety สะท้อนความเห็นว่า ความกังวลเหล่านี้มีเหตุผล "หากคุณใช้มันเพื่อเสริมทักษะของคุณหรือแสดงทักษะที่คุณไม่มีจริง ๆ นั่นเป็นปัญหา โดยพื้นฐานแล้วหากคุณใช้เอไอเพื่อแสดงทักษะนั้น มันก็แปลว่าคุณอาจไม่สามารถทำงานนั้นได้จริงๆ"เปิดคำแนะนำการใช้AIที่ดีที่สุดสำหรับผู้สมัครงานหากผู้สมัครงานใช้ AI มาช่วยเขียนเรซูเม่หรือจดหมายสมัครงานต่างๆ ก็ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้AI สร้างขึ้น ผู้สมัครควรใช้เวลาในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่AI สร้างขึ้นนั้น เป็นข้อมูลของผู้สมัครจริงๆ ที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับทักษะและความสามารถของผู้สมัครเนื่องจากAI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเกินจริงได้"AI อาจสร้างข้อมูลที่มีความซ้ำซ้อนและไม่ถูกต้องเสมอไป สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง ผู้สมัครงานจะต้องแก้ไขใหม่ รวมถึงตรวจทานเนื้อหาในใบสมัครซ้ำหลายๆ รอบเพื่อความถูกต้องครบถ้วนที่สุด"คำแนะนำนี้สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอย่าง เจเรมี ชิเฟลิง (Jeremy Schifeling) ผู้เขียนหนังสือ "Career Coach GPT" ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้ AI ในกระบวนการหางาน เขาแนะนำให้ผู้สมัคร "ตรวจสอบ ตรวจสอบ และตรวจสอบ" ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ AI สร้างขึ้น"สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือการนั่งอยู่ในการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้วถูกถามเกี่ยวกับประวัติย่อที่ AI สร้างขึ้นแบบผิดๆ และคุณตอบไม่ได้ (เพราะลืมตรวจทานข้อมูล) จนอาจทำให้อับอายในระหว่างสัทภาษณ์"นอกจากนี้ เอสคาเลราให้คำแนะนำอีกว่า ควรใช้AI เพื่อช่วยปรับแต่งใบสมัครให้ตรงกับคำอธิบายลักษณะงาน เพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจง่ายขึ้น และอาจรวมถึงการใช้AI ช่วยคัดกรองศัพท์เทคนิคเฉพาะของสายงานนั้นๆหรือใช้มันช่วยการตรวจสอบไวยากรณ์ ฯลฯ แต่นอกเหนือจากนั้นคุณควรเขียนจดหมายสมัครงานและเรซูเม่ด้วยตัวเอง"ตัวคุณคือพื้นฐาน และAI เข้ามาเพื่อเสริมพื้นฐานที่คุณมีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าใช้มันเพื่อทำงานให้คุณทั้งหมดทุกอย่าง"ขณะที่ ลอว์เรนซ์เตือนให้วัยทำงานคนรุ่นใหม่ระวังการอัปโหลดข้อมูลส่วนบุคคลเข้าสู่โปรแกรม AI เพราะมันอาจถูกใช้เกินวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะอาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวได้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับทั้งลอว์เรนซ์และเอสคาเลราคือ ปรากฏการณ์นี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนมองว่าการใช้AI ในกระบวนการสมัครงานจะยังคงแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทุกคนจะใช้AI ทำเรื่องนี้กันอย่างปกติ แต่สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีใช้มันให้ผลลัพธ์ใบสมัครงานออกมาดีที่สุด ไม่ใช่ใช้มันทำแทนทั้งหมดทุกขั้นตอนที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1169965
อ่านเพิ่มเติมภูมิทัศน์ของการทำงานกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรับรู้ถึงFuture of Workหรือ อนาคตของการทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อม และทำความเข้าใจแนวโน้มต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น8 future of work trends 2025 1.หมั่นพัฒนาทักษะและเรียนรู้เรื่องใหม่เนื่องจากAI เข้ามามีบทบาทอย่างมากในด้านการทำงานในปัจจุบัน ทำให้เรื่องการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น องค์กรที่สามารถสร้างภาพลักษณ์เรื่อง การให้โอกาสในการเรียนรู้ จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการดึงดูดพนักงานที่มีศักยภาพในฐานะตัวบุคคล การสร้างLifelong learning mindset จะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างResilience ในอาชีพ และเปิดโอกาสให้ตนเองอย่างต่อเนื่อง 2.ทำงาน4วันต่อสัปดาห์ –สร้างWork productivityและสมดุลชีวิต93%ของพนักงานที่อยู่ในโครงการทดลองทำงาน4วันต่อสัปด์ ต้องการให้เปลี่ยนเป็นรูปแบบนี้ถาวรและที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนรูปแบบมาทำงานแบบ4วันต่อสัปดาห์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการเดินทางถึง50%การออกนโยบายให้ทำงาน 4วันต่อสัปดาห์ หรือการท้าทายรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ ที่ทำงาน5วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นโครงการที่องค์กรชั้นนำหลาย ๆ ที่ได้ลองนำมาใช้แล้วเห็นผลในทางเดียวกันว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้ความเครียดของพนักงานลดลง 3.Gig Economy 2.0 –สร้างเส้นทางอาชีพ และโอกาสใหม่ในการทำงานGig economy หรือ การจ้างงานแบบครั้งคราว ตามสัญญาที่ตกลงไว้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสร้างประโยชน์ทั้งฝั่งนายจ้าง และลูกจ้าง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปีหน้า และ สามารถดึงดูดเหล่าTalent ได้จากการเปิดโอกาสให้พนักงานมีอำนาจในการตัดสินใจในเนื้องานเอง ความยืดหยุ่น และความอิสระในการทำงาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อย ๆ 4.ความร่วมมือระหว่างHuman & Machine –ยกระดับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นบทบาทของ AI ในโลกธุรกิจมีอิทธิพลขึ้นมาก ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ หรือแทนที่งานบางอย่าง อีกทั้งปลดล็อคโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ที่สร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนอนาคตAI สามารถเพิ่มHuman Capability และเป็นคู่หูในการระดมความคิดสร้างสรรค์ได้ ทำให้ควรเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการนำAI มาใช้งาน เพื่อยกระดับผลงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น เรียนรู้การป้อนคำสั่ง หรือเครื่องมือAI ที่เหมาะกับงานแต่ละแบบ เป็นต้น 5.ผู้นำแบบHuman-Centric –จากแจกแจงงานเพียงอย่างเดียว สู่การพัฒนาTalentและ Teamผู้นำที่จะเป็นที่ต้องการ คือ ผู้นำที่สามารถสร้างConnection รู้แนวทางการให้คำปรึกษาทางอาชีพ และสร้างทีมที่เหนียวแน่นกลมกล่อม ขับเคลื่อนผลงานในองค์กรได้บทบาทของผู้นำแบบHuman-Centric จำเป็นต้องมีคุณสมบัติเรื่อง ความเห็นอกเห็นใจ การอำนวยความสะดวกในการทำงาน และมุ่งเน้นพัฒนาพนักงาน 6.สร้างความImmersive–ในการทำงานออนไลน์ในปี2568 การผสมผสานเทคโนโลยี VR และAR ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงาน การทำกิจกรรมสร้างเสริมความเป็นทีม เป็นต้น ทำให้เรื่องWork-Focused Platform ยังคงอยู่ เพื่อสนับสนุนการทำงานระยะไกล และผสมผสานประโยชน์ของการโต้ตอบแบบตัวต่อตัวทางดิจิทัล 7.บทบาทที่เพิ่มขึ้นของAI–ในงานด้านทรัพยากรบุคคลหรือHuman Resourceการบูรณาการ AI กับเรื่องHR กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ หรือบางอย่างอาจเพิ่มคุณภาพได้ในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องRecruitment, Performance Management, Employee Engagement, Talent Development เป็นต้นอีกทั้ง ในระหว่างที่AI จัดการงานที่อาศัยความซ้ำซ้อน มีรูปแบบที่ชัดเจน คนHR ก็สามารถใช้เวลาในเรื่องเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ทำให้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนทิศทางหลักขององค์กร และเตรียมความพร้อมของทรัพยากรปัจจุบันและอนาคต 8.การให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน –จะกลายเป็นNew NormalการทำงานในรูปแบบHybrid กลายเป็น ‘Default’ ในSkilled Roleทำให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาในการทำงาน และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามช่วงเวลาที่ตนเองสามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้แนวโน้มทั้ง8 ข้อด้านบน เป็นเพียงการคาดการณ์จากสถานการณ์ทางธุรกิจ และเทรนด์ในปัจจุบัน สำหรับการเตรียมพร้อมเข้าสู่ปี2025 นอกจากนี้ จึงขอต่อยอดเกี่ยวกับSkill หรือ ทักษะ ที่สำคัญในปี2025มีFuture Skillทั้งหมด5ทักษะ ที่ควรจับตามอง และพัฒนาให้พร้อมสู่ปี2025ที่กำลังจะถึงนี้ความรู้ด้านดิจิตอลและความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลเนื่องจากอุตสาหกรรมทุกแห่งกำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอล พนักงานที่สามารถทำงานในแพลตฟอร์มดิจิตอลและมีความสามารถในการทำงานกับข้อมูลจะเป็นที่ต้องการขององค์กร เพราะDigital Literacyจะไม่ใช่โบนัสอีกต่อไป แต่จะเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนต้องรู้อีกทั้งองค์กรต้องการพนักงานที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจอย่างมีหลักเกณฑ์อ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การเงิน หรือการดำเนินงานมีความคิดสร้างสรรค์และคิดเชิงนวัตกรรมในปัจจุบัน AI เข้ามามีบทบาทอย่างมากในโลกธุรกิจ ทำให้เรื่อง ความคิดสร้างสรรค์ และคิดเชิงนวัตกรรมในการริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ จะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากAI ได้ องค์กรจะมองหาคนที่สามารถริเริ่มไอเดียใหม่ ๆ และใช้ต่อยอดเชิงธุรกิจได้ เช่น ในด้านการตลาด การออกแบบ หรือเรื่องเชิงกลยุทธ์ เป็นต้นมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือEmotional Intelligence (EI)เมื่อรูปแบบการทำงานเป็นรูปแบบHybrid และกระจายตัวมากขึ้นEmotional Intelligence จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันและการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพการเปิดใจเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมปรับตัวอย่างต่อเนื่องCapability ของคนในปัจจุบันสามารถล้าสมัยได้อย่างรวดเร็วจากการมีบทบาทของ Technology ทำให้การมีLifelong Learning Mindset จำเป็นอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ และยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ล้มแล้วลุกไว และเรียนรู้จากประสบการณ์แรงกดดันของการทำงานสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกหลังการระบาด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความยืดหยุ่นและสุขภาพจิตที่มา: https://pwg.co.th/
อ่านเพิ่มเติมจากการวิจัยล่าสุดและบทวิเคราะห์เชิงลึกของผู้เชี่ยวชาญ ได้ระบุ “ทักษะ”8 อย่างที่เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญของผู้นำในอนาคต เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้พวกเขายืนหยัดต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลง แต่ยังช่วยปลดล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ให้กับทีมงานและองค์กรได้อีกด้วย1. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence - EI)ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทสำคัญ ความฉลาดทางอารมณ์ยังคงเป็นทักษะจำเป็นที่สุดสำหรับผู้นำ โรงเรียนธุรกิจSwiss School of Business and Management (SSBM) ระบุว่าผู้นำที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงสามารถสร้างความไว้วางใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี และช่วยรักษาขวัญกำลังใจของทีมได้2. การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)ปัจจุบันองค์กรเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีหรือแรงกดดันทางตลาดPeople Development Magazine ชี้ให้เห็นว่าทักษะในการจัดการการเปลี่ยนแปลงเป็นหนึ่งในทักษะที่ผู้นำต้องการมากที่สุด โดยผลสำรวจจากPeople Development Magazine พบว่าองค์กรที่มีผู้นำที่เชี่ยวชาญด้านนี้จะสามารถปรับตัวต่อกระแสการดิสรัป (Disruption)ได้ดีกว่า และจะยังคงรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรง3. ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Technological Literacy)การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีกลายเป็นทักษะที่ผู้นำขาดไม่ได้ AIHR ระบุว่าผู้นำจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เป็นต้น การมีความรู้ด้านเทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ควรเข้าใจว่ามันส่งผลต่อธุรกิจอย่างไรและจะสามารถนำไปใช้เพื่อสร้างนวัตกรรมได้อย่างไร AIHR ยังชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่มีความรู้เรื่องดิจิทัล สามารถสร้างความมั่นใจให้กับทีมและทำให้องค์กรอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบทางการแข่งขันอีกด้วย4. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience and Adaptability)สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้นำต้องแสดงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวHarvard Business School ระบุว่าคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับรับมือกับความผันผวน ผู้นำที่มีความยืดหยุ่นจะรักษาความนิ่งในสถานการณ์ที่กดดัน ขณะที่ผู้นำที่ปรับตัวได้ดีจะสามารถเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใหม่ ๆ ได้5. ความเป็นผู้นำที่เน้นการมีส่วนร่วม (Inclusive Leadership)ความหลากหลายและการสร้างวัฒนธรรมมีส่วนร่วม (Inclusive culture) จะไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ งานวิจัยของExecOnline ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่เน้นการมีส่วนร่วมจะเปิดรับมุมมองที่หลากหลายและสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า6. วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Vision)ความสามารถในการกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและสร้างแรงบันดาลใจ ถือเป็นจุดเด่นของความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จากงานวิจัยของLeadership Topics ชี้ให้เห็นว่าทักษะนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนระยะยาว การกำหนดเป้าหมายขององค์กร และการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต7. การสอนและการพัฒนา (Coaching and Development)การลงทุนในพนักงานไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้นำในยุคนี้People Development Magazine เน้นย้ำว่าผู้นำที่ใช้แนวทางการบริหารแบบโค้ชจะสามารถสนับสนุนการเติบโตของทีมงานทั้งในด้านอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัวได้ ผลการศึกษาของPeople Development Magazine ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่ช่วยเหลือพนักงานผ่านการให้คำแนะนำ การชี้แนะ และการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อองค์กรโดยรวม8. การสื่อสารและการเล่าเรื่อง (Communication & Storytelling)งานวิจัยจากINSEAD ในปี2024 ชี้ให้เห็นว่า แม้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่มนุษย์ก็ยังต้องเป็นผู้ควบคุม ดูแล และใช้งานมันอยู่ดี ผู้นำที่มีทักษะการสื่อสารและการเล่าเรื่องที่ดีเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาทีมงานและองค์กรให้ปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพดังนั้น การเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสำหรับปี2025 จึงต้องอาศัยทักษะที่หลากหลาย เพื่อรับมือกับความท้าทายของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/health/labour/1170142
อ่านเพิ่มเติมเชื่อว่าหลายๆ คนก่อนสัมภาษณ์งานจริงๆ คงมีความกังวลกันทุกคน ไม่ว่าจะสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษหรือสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย และเราควรจะเตรียมความพร้อมอย่างไร? เมื่อต้องเจอกับคำถามต่างๆ ที่เราอาจจะคาดเดาไม่ถูก วันนี้ทางเพจจะมาช่วยเพื่อนๆ เตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษกันการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์การสัมภาษณ์งานกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง หรือ เอเชีย สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ (interviewer) คาดหวังและมองหาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ (candidate) คือSmart and Professional look=การแต่งกายที่สุภาพตามแบบธุรกิจสากลให้เกียรติสถานที่ทำงาน และ ผู้สัมภาษณ์Confidence= ความมั่นใจ บุคลิกภาพ และ ที่สำคัญมากๆคือแววตาครับเดินให้สง่ากระชับกระเฉงแววตามุ่งมั่นเวลาพูดให้สบตาเข้าไปในแนวตาของผู้สัมภาษณ์เพื่อสื่อให้ถึงความจริงใจและมุ่นมั่นSkill and work experience= ความสามารถ และ ประสบการณ์ของเราครับ ซึ่งข้อนี้แอดมินอยากให้เพื่อนๆRole play หรือเป็นการณ์แสดงบทบาทสมมุติเป็น Sale ที่จะพรีเซนต์ขายตัวเองให้บริษัทเกิดความชอบเรา อยากที่จะจ้างเรา ตามค่าจ้างที่เราร้องขอครับ9คำถามยอดฮิตที่เรามักจะถูกสัมภาษณ์ (interview)1. Tell me a little bit about yourself.– บอกฉันสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวคุณเป็นการที่ผู้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวเรามากยิ่งขึ้นโดยคือการให้เราแนะนำตัวเองนั่นเอง ซึ่งการแนะนำตัวเองของเราในที่นี้สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการรู้ก็คือ ตัวเราในมุมมองของการทำงาน จะไม่ใช่การแนะนำตัวเองแบบทั่วๆไปตัวอย่างการตอบคำถามI studied Communication Arts at Bangkok University.– ฉันเรียนนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพI enjoy creating and publishing content on social media.– ฉันสนุกกับการสร้างสรรค์และ เผยแพร่เนื้อหาต่างๆบนโซเชียลมีเดียI have been an internship in a marketing company for 6 months.– ฉันเคยฝึกงานในบริษัทการตลาดเป็นเวลา 6 เดือน2. How did you hear about this position?–คุณรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับตำแหน่งนี้ได้อย่างไรตัวอย่างการตอบคำถามI found an advertisement for the job on the internet.– ฉันเจอโฆษณาเกี่ยวกับการสมัครงานนี้บทอินเทอร์เน็ตI found this position on the company website.– ฉันเจองานตำแหน่งนี้อยู่บนเว็ปไซต์ของบริษัท3. Why are you interested in this position?– ทำไมคุณถึงสนใจในตำแหน่งงานนี้สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์อยากจะรู้จากคำถามนี้ก็คือ ตัวเราเหมาะกับตำแหน่งนี้ขนาดไหน ทำไมเราถึงเหมาะกับตำแหน่งงานนี้ ซึ่งสิ่งที่เพื่อนๆควรจะบอกผู้สัมภาษณ์ก็คือ ความสามารถที่เรามี มันตรงกับตำแหน่งนี้นะ หรือว่า เราอาจจะบอกว่าตำแหน่งนี้แหละคือตำแหน่งที่เราถนัดที่สุดในการที่จะทำงานตัวอย่างการตอบคำถามI have always been interested to work in this field for a long time.– ฉันมีความสนใจที่จะทำงานในตำแหน่งนี้/ในด้านนี้ เป็นเวลานานแล้ว *(เพื่อจะให้ผู้สัมภาษณ์รู้ว่าเราสนใจด้านนนี้โดยเฉพาะ และ เราเตรียมตัวเพื่อที่จะมาทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ)I think this position fits with my ability and my goal in this company.– ฉันคิดว่าตำแหน่งงานนี้ตรงกับความสามารถที่ฉันมี และ ตรงกับเป้าหมายที่ฉันตั้งใจไว้ในบริษัทนี้ *(เพื่อที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อว่าเราสามารถที่จะทำงานนี้ได้)4. Why should we hire you?– ทำไมเราถึงต้องจ้าง หรือ เลือกคุณเข้ามาทำงานคำถามนี้เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ถ้าทายมากๆ ซึ่งเพื่อนๆจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม และ ต้องมั่นใจกับคำตอบของเราว่า ใช่คุณต้องจ้างฉันสิ เพราะฉันมีความสามารถแบบนี้นะ และ ฉันเหมาะกับงานตำแหน่งนี้มากๆ ซึ่งจุดประสงค์ของผู้สัมภาษณ์คือ ต้องการที่จะเห็นว่าเร่ามั่นใจแค่ไหน กับการทำงานในตำแหน่งนี้ เรามั่นใจในตัวเองแค่ไหนว่าเรามีความสามารถที่จะทำงานในตำแหน่งนั้นจริงๆตัวอย่างการตอบคำถามI have the experience and I assure you that I will give my best for the job. – ฉันมีประสบการณ์ และ ฉันขอให้คุณมั่นใจได้เลยว่าฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่องานนนี้I believe that my experience with technology, specifically in the web design space, make me the best match for this position. In my previous job, I was responsible for maintaining and updating our company website. This required keeping employee profiles updated and continuously posting information regarding upcoming events. I truly enjoyed what I was doing, which is what drew me to this position with your company. I would love to bring the coding and content skills I learned there to this position. – ฉันเชื่อว่าประสบการณ์ของฉันกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านการออกแบบเว็บ ทำให้ฉันเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุด ในงานก่อนหน้านี้ ฉันมีหน้าที่ดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์ของบริษัท เกี่ยวกับการทำให้โปรไฟล์พนักงานอัพเดตอยู่ตลอด และ โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉันสนุกกับสิ่งที่ฉันทำมากๆ ซึ่งมันดึงดูดให้ฉันมาสนใจอยู่ในตำแหน่งนี้กับบริษัทของคุณ ฉันจึงอยากที่จะนำทักษะการเขียนโค้ด และ ทักษะการเขียนเนื้อหา และ คอนเทนต์ ที่ฉันได้เรียนรู้มาสู่ตำแหน่งนี้5. What are your strengths and weaknesses?– อะไรคือจุดแข็ง และ จุดด้อยของคุณตัวอย่างการตอบคำถามI am a proactive person and a problem solver.– ฉันเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น และ เป็นคนที่ชอบแก้ไขปัญหาต่างๆSometimes I focus too much on details and it takes more time to get the job done.– บางครั้งฉันโฟกัสในดีเทลในรายละเอียดของงานมากเกินไป และ มันทำให้ใช้เวลานานในการที่จะทำให้งานๆนึงเสร็จสมบูรณ์6. Where do you see yourself in 5 years?– คุณเห็นตัวเองอยู่ในจุดไหนในอีก5 ปีข้างหน้าตัวอย่างการตอบคำถามBy then I will have improved a lot and will have become a team leader.– ในตอนนั้นฉันก็คงจะพัฒนาขึ้นมาก และ ฉันก็คงจะกลายเป็นหัวหน้าทีม7. Why do you want to work here?– ทำไมคุณถึงอยากมาทำงานที่นี่ตัวอย่างการตอบคำถามI have always wanted to work here because I believe I will have achieved my goal here and grow together with the company.– ฉันต้องการจะทำงานที่นี่มาตลอดเลยเพราะว่าฉันเชื่อว่าฉันจะสามารถบรรลุเป้าหมายของฉันที่นี่ได้ และ เติบโตไปพร้อมๆกับบริษัทได้8. Why Did YouLeaveYour Last Job?– ทำไมคุณถึงออกจากงานที่เก่าตัวอย่างการตอบคำถามThere isn’t room for growth with my current employer, and I’m ready to move on to a new challenge.– ฉันไม่มีโอกาสได้ก้าวหน้าในที่ทำงานเดิมเลย และฉันเองพร้อมแล้วที่จะเจอความท้าทายใหม่ๆI found myself bored with the work and looking for more challenges. I am an excellent employee, and I didn’t want my unhappiness to have any impact on the job I was doing for my employer.– ฉันพบว่าฉันเบื่องานเดิมและต้องการมองหาความท้าทายใหม่ๆ ฉันเป็นลูกจ้างที่ดีนะ และฉันไม่ต้องการให้ “ความรู้สึกไม่มีความสุข” ของฉันนั้นมากระทบกับงานที่ทำที่บริษัทเดิม9. Do you have any questions for me?– คุณมีคำถามอะไรจะถามฉันไหมตัวอย่างการตอบคำถามCan you tell me about the job?– คุณช่วยพูดเกี่ยวกับงานนี้ให้ฉันฟังได้ไหมWhat is the most enjoyable part about working here?– อะไรคือส่วนที่สนุกที่สุดเกี่ยวกับการทำงานที่นี่What kind of tasks will be my primary concern?– งานประเภทใดที่เราต้องให้ความสนใจเป็นอันดับแรกCan you tell me a little bit about the team I will work with?– คุณช่วยบอกเกี่ยวกับทีมงานที่ฉันจะร่วมงานด้วยได้ไหมสรุปไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย เราอยากให้เพื่อนๆได้เตรียมตัวฝึกซ้อมก่อนทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์งานในวันจริง อาจจะเป็นการฝึกซ้อมดูบุคลิกภาพ และ ท่าทางของตนเองในระหว่างที่พูดออกมา ควรมีความมั่นใจ พยายามขายและบอกจุดเด่นและประสบการณ์การทำงานของเรามาให้ดีและมากที่สุด เพื่อที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เราเกิดความประทับใจ และ อยากที่จะให้เรามาร่วมงานกับเขานั่นเองที่มา : 9 คำถามสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ สัมภาษณ์ทีไรเจอแน่นอน ตอบยังไงไปดูกัน
อ่านเพิ่มเติมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข้อมูลรายงาน“Future of Jobs 2025”ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวในประเทศไทยร่วมกับWorld Economic Forumในการเสนอแนวทางเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในระหว่างปี พ.ศ.2568–2573รายงานนี้อ้างอิงจากการสำรวจ1,000 บริษัท ครอบคลุมพนักงาน14 ล้านคน ใน22 อุตสาหกรรม จาก55 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลการวิเคราะห์ที่สำคัญดังนี้ตำแหน่งงานใหม่170 ล้านตำแหน่ง จะเกิดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม92 ล้านตำแหน่งงาน จะหายไป เนื่องจากระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเติบโตสุทธิของการจ้างงานคิดเป็น7% หรือเท่ากับ78 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลกปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานในปี 2573โดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีAI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมด้านพลังงานเป็นปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงบทบาทงานและทักษะการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระตุ้นความต้องการวิศวกรสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียนความผันผวนทางเศรษฐกิจค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเป็นความท้าทายสำคัญการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรประชากรสูงอายุในประเทศรายได้สูงและแรงงานขยายตัวในประเทศรายได้ต่ำปรับเปลี่ยนตลาดแรงงานการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศข้อจำกัดทางการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อรูปแบบธุรกิจทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2573 สองในห้าของทักษะที่มีอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลง ทักษะที่สำคัญของไทย คือ ทักษะด้านAI และBig Data ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ในขณะที่ระดับโลกเน้นทักษะด้านAI และBig Data ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี และทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์กลยุทธ์สำคัญ5 ประการสำหรับประเทศไทยสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ Holistic Skill Change: ยกเครื่องการUpskill ของบุคลากรในมิติ ไม่ใช่ทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้นสร้างองค์กรให้เป็น Future-Ready Organizationที่ต้องมีระบบการพัฒนาทักษะอนาคตของบุคลากรHuman Replacementงานที่ซ้ำซากให้เลิกใช้คน และทดแทนด้วยระบบAutomationEnhancing Dynamic Work Roleมีการส่งเสริมให้ไม่ยึดติดกับบทบาทการทำงานในแบบเดิม ๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาผสานเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เข้ากับการทำงาน: เชื่อมโยงเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างนวัตกรรมที่เพิ่มคุณค่าและความสามารถในการแข่งขันศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ยังกล่าวด้วยว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก้าวสู่การเป็น “The University of AI” มหาวิทยาลัยแห่งนี้มุ่งสร้าง “คนพันธุ์ใหม่” หรือ “Future Human” ที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในการใช้งาน AI (Artificial Intelligence) แต่ยังเปี่ยมด้วยทักษะที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง II (Instinctual Intelligence) หรือ “ปัญญาสัญชาตญาณ” ซึ่งสร้างสรรค์ปัญญาที่ไม่อาจประดิษฐ์ขึ้นได้ ที่สำคัญ ‘คนพันธุ์ใหม่’ จะต้องไม่ได้มีเพียงสมองที่ชาญฉลาด แต่ต้องมีหัวใจที่ดีงาม ที่จะเปลี่ยนความสามารถทางเทคโนโลยีให้เป็นพลังที่สร้างคุณค่าแก่ทั้งตนเองและสังคม”ที่มา : The Future of Jobs 2025 – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านเพิ่มเติมคนทำงาน จะประสบความสำเร็จได้ด้วยความขยัน + กลยุทธ์ที่ถูกต้องเป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงานทั่วๆ ไปหรือ “มนุษย์เงินเดือน” ในโลกของการทำงานที่อยากจะทำงานแล้วประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนตำแหน่งมีความก้าวหน้า จนสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัวผ่านการทำงานหนักในองค์กรใหญ่แต่เป้าหมายทั้งหมดนี้อาจไม่เป็นจริงเสมอไป หากปราศจากกลยุทธ์ที่ถูกต้องเมื่อพูดถึงคำว่า “กลยุทธ์” หลายคนอาจนึกถึงผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของธุรกิจ แต่ในความเป็นจริง กลยุทธ์สามารถนำมาใช้กับทุกระดับของการทำงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป การมีแนวคิดเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้เราก้าวข้ามจากการเป็นแค่พนักงานธรรมดา ไปสู่การเป็นบุคลากรที่องค์กรขาดไม่ได้หากเปรียบเทียบโลกของการทำงานกับพีระมิด เราจะเห็นว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด คนเหล่านั้นมีแนวคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างจากคนทั่วไป และสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นก็คือ การสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพสูงในระยะยาว (Superior Long-Term Performance)3องค์ประกอบของความสำเร็จในอาชีพในโลกของธุรกิจ ความสำเร็จมักถูกวัดจาก กำไร การเติบโต และความยั่งยืน ซึ่งแนวคิดเดียวกันนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานได้เช่นกัน1.กำไร (รายได้) : ในบริบทของคนทำงาน กำไรหมายถึงรายได้ที่ได้รับ คนที่สร้างผลงานได้โดดเด่น ย่อมมีโอกาสเรียกร้องค่าตอบแทนที่สูงขึ้น2.การเติบโต (ความก้าวหน้าในอาชีพ) : ความก้าวหน้าไม่ได้หมายถึงเพียงการเลื่อนตำแหน่ง แต่รวมถึงการได้รับโอกาสใหม่ๆ ที่จะพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเอง3.ความยั่งยืน (ความมั่นคงในการทำงาน) : คนที่มีความสามารถและคุณค่าต่อองค์กรจะสามารถรักษาตำแหน่งงานไว้ได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแทนที่ง่ายๆคำถามคือ แล้วเราจะสามารถบรรลุ3 องค์ประกอบดังกล่าวได้อย่างไร?ในเมื่อทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ24 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งประสบความสำเร็จมากกว่าอีกคนคือ วิธีการใช้เวลา คนที่ประสบความสำเร็จมักใช้เวลาของพวกเขาไปกับกิจกรรมที่สร้างคุณค่าและผลลัพธ์ที่จับต้องได้การทำงานที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ การทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง (Do Things Right)แต่ที่สำคัญกว่าคือการทำงานอย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) ซึ่งหมายถึง การทำสิ่งที่ถูกต้อง (Do the Right Things)ในการทำงาน หลายคนมักให้ความสำคัญกับ “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) เพราะเชื่อว่าการทำงานอย่างรวดเร็ว เป็นระเบียบ และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าจะนำไปสู่ความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ประสิทธิผล” (Effectiveness) เพราะการทำงานอย่างมีประสิทธิผลคือการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง และสร้างผลลัพธ์ที่แท้จริงให้เกิดขึ้นลองนึกภาพพนักงานสองคนที่ต้องจัดทำรายงานส่งผู้บริหารคนแรก ใช้เวลา3 ชั่วโมงในการจัดทำรายงานที่ละเอียดมาก ตัวเลขเป๊ะ กราฟดูดี และทุกอย่างเป็นระเบียบสุดๆ แต่ปัญหาคือ เนื้อหาของรายงานไม่ได้ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริหารต้องการใช้ตัดสินใจคนที่สอง ใช้เวลาเพียง1 ชั่วโมง จัดทำรายงานที่เน้นเฉพาะประเด็นสำคัญที่ผู้บริหารต้องใช้ในการตัดสินใจ แม้ว่ากราฟอาจจะไม่สวยเป๊ะเท่าคนแรก แต่รายงานของเขากลับได้รับการนำไปใช้จริงในตัวอย่างนี้ คนแรกอาจมี “ประสิทธิภาพ” มากกว่า เพราะเขาทำงานออกมาอย่างละเอียดและเรียบร้อย แต่คนที่สองมี “ประสิทธิผล” มากกว่า เพราะเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงจุดประสงค์ และให้ผลลัพธ์ที่มีค่ากว่านั่นเองทำไม “ประสิทธิผล” จึงสำคัญกว่าประสิทธิภาพ?ทำถูกวิธี ≠ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการซึ่งการทำงานอย่างมีระเบียบไม่ได้แปลว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จเสมอไปหากคุณทำงานที่ไม่จำเป็นหรือไม่สำคัญต่อให้ทำได้ดีแค่ไหนก็อาจไม่มีผลกระทบต่อเป้าหมายที่แท้จริงโลกของงานวัดกันที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ความขยัน โดยคนที่ทำงานหนักอาจได้รับคำชม แต่คนที่สร้างผลลัพธ์ที่มีคุณค่าให้กับองค์กรจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และมีรายได้ที่สูงขึ้นทรัพยากรและเวลามีจำกัด ต้องใช้ให้คุ้ม เพราะในชีวิตการทำงาน เรามีทั้งเวลาและพลังงานที่จำกัด การเลือกทำสิ่งที่สำคัญก่อน และทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการทำงานดังนั้นเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นจากคนอื่นๆ ในองค์กร มีหลักคิดที่สามารถนำไปใช้ได้ดังนี้หาโอกาสที่เหมาะสม : มองหาการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม เทรนด์ตลาด หรือโอกาสใหม่ๆ ที่จะช่วยให้คุณเติบโตพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง : ใช้เครื่องมืออย่างStrength Finderเพื่อค้นหาว่าคุณมีความสามารถเด่นด้านใด และนำมาพัฒนาให้กลายเป็นข้อได้เปรียบลงมือทำทันที : ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นจากการคิดอย่างเดียว ต้องมีการลงมือทำจริง พร้อมปรับตัวและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบริหารความเร็ว : ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่ลงมือทำก่อน ย่อมมีโอกาสมากกว่า แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แบบ100%ท้ายที่สุดนี้ คนทำงานที่ต้องการความสำเร็จต้องเริ่มต้นจาก การมีแนวคิดเชิงกลยุทธ์ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน พัฒนาทักษะที่มีค่า และบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือลงมือทำโดยไม่รอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบลองจินตนาการถึงตัวเองในอีก5 ปี10 ปี หรือ20 ปีข้างหน้า คุณอยากให้ชีวิตของตัวเองเป็นแบบไหน? ถ้าวันนี้คุณทำงานแบบสบายๆ ไม่พยายามพัฒนาตัวเองเลย อนาคตของคุณจะเป็นอย่างไร?แนวคิดนี้คล้ายกับหลักการของเครื่องบิน เวลาที่ต้องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันต้องใช้พลังงานสูงสุด แต่เมื่อขึ้นไปถึงระดับความสูงที่เหมาะสมแล้ว การบินจะราบรื่นขึ้น หากเปรียบเทียบกับชีวิตการทำงาน ถ้าเราเต็มที่กับงานในช่วงแรก สร้างรากฐานที่มั่นคง เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะสามารถ “บิน” ได้อย่างมั่นคงและมีความสุขที่มา : กลยุทธ์ 'คนทำงาน' เงินพุ่ง งานรุ่ง ใครก็แทนไม่ได้ – THE STANDARD
อ่านเพิ่มเติม