เว็บไซต์ Amata Jobs Online จัดทำขึ้นโดย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ อมตะ (AMATA) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี และ ระยอง มีโรงงานประกอบกิจการกว่า 1,100 แห่ง สามารถสร้างอาชีพให้กับคนในประเทศมากกว่า 250,000 อัตรา ถือว่าเป็นตลาดงานใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สร้างเรซูเม่สมัครงานฟรี ให้คุณยืนหนึ่งด้วยการนำเสนอตัวตนที่โดดเด่น เพิ่มโอกาสให้คุณได้งาน สร้างเรซูเม่ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย ทำเรซูเม่ที่สวยงาม และใช้งานได้จริง หมดปัญหากับการสร้างเรซูเม่ที่สวย แต่ส่งไปสมัครงานแล้วแป๊กทุกที พร้อมถึงระบบช่วยกรอกเรซูเม่ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจในทุกส่วนของข้อมูลเรซูเม่ และสามารถกรอก ข้อมูลได้ละเอียดที่สุด
สร้างเรซูเม่อมตะซิตี้ ระยอง
อมตะซิตี้ ชลบุรี
บุคคลิกภาพกับการเลือกอาชีพและการศึกษาให้เหมาะสมกับตัวเองการเลือกอาชีพและสาขาวิชาที่จะศึกษา ให้เหมาะสมกับตัวเองโดยเน้นเรื่องบุคลิกภาพ บุคคลแต่ละบุคคลย่อมมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน แต่ละคนจะมี ลักษณะที่ชี้เฉพาะตนไม่ว่ารูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ หรือนิสัยใจคอ มีนักวิชาการบางท่านได้ให้ความหมายของคำว่า “บุคลิกภาพ” คือ ลักษณะส่วนรวมของ บุคคล ซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่ปรากฏทางร่างกาย นิสัยใจคอ ความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมรวมของบุคคลนั้น ซึ่งได้รวมอยู่ด้วยกันอย่างผสมกลมกลืนในตัว บุคคลนั้น รวมถึงสิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบ สิ่งที่เขาสนใจและไม่สนใจ เป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตของเขา ความสามารถด้านต่าง ๆ ของเขาลักษณะของบุคลิกภาพเฉพาะของแต่ละคนนั้น หากบุคคลรู้จักและเข้าใจบุคลิกภาพจนสามารถมองตนได้ตามสภาพความเป็นจริงย่อม ช่วยให้บุคคล ตัดสินใจเลือกแนวทางชีวิต การศึกษา และอาชีพได้อย่างสอดคล้องกับตัวเองมากที่สุดบุคลิกภาพสำคัญอย่างไรบุคลิกภาพนั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง1. ทางกายภาพ หมายถึง รูปร่างหน้าตาดี ย่อมส่งผลให้ผู้สัมภาษณ์สนใจได้บ้าง และตนเองก็มีความภูมิใจมั่นใจยิ่งถ้ามีสุขภาพที่แข็งแรงว่องไวในการทำงาน ยิ่งน่าประทับใจ2. ทางสมอง สมองดีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็จะทำให้เขามีความทรงจำดีเชาวน์ปัญญาดี แต่ต้องเป็นผลจากการศึกษาอบรมพื้นฐานด้วย3. ความสามารถ อาศัยประสบการณ์ และความถนัดจากการฝึกฝน4. ความประพฤติ เป็นผู้อยู่ในศีลธรรม สุภาพอ่อนโยน มีมนุษยสัมพันธ์ ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสังคม5. ชอบเข้าสังคมมีทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่น การแสดงออกต่อเพื่อนฝูง ไม่เห็นแก่ตัว มีน้ำใจต่อผู้อื่นไม่อวดตัว6. อารมณ์ดี ใจเย็น ไม่ฉุนเฉียว อดกลั้นโทสะได้7. กำลังใจ เป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอย ไม่เสียขวัญง่ายบุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพเพราะบุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพ โดยบุคคลจะเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพของตน บุคลิกภาพเฉพาะอย่างมีความสัมพันธ์กับอาชีพ เฉพาะอย่าง ทฤษฎีการเลือกอาชีพของ “จอห์นแอล ฮอลแลนด์”1. แนวคิดพื้นฐาน 4 ประการประการที่ 1 อาชีพเป็นเครื่องแสดงออกทางบุคลิกภาพ บุคคลจะเลือกอาชีพใดย่อมแสดงว่าบุคลิกภาพของ เขาจะปรากฏออกมาในทิศทางเดียวกันประการที่ 2 บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลมีความสัมพันธ์กับชนิดของสิ่งแวดล้อมในการทำงานของ บุคคลนั้น ดังนั้น บุคคลจึงมีแนวโน้มจะหันเข้าหางาน หรืออาชีพที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของเขาประการที่ 3 บุคคลจะค้นหาสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เขาได้ฝึกทักษะ และใช้ความสามารถของเขา ทั้งยัง เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงเจตคติ ค่านิยม และบทบาทของเขาฃประการที่ 4 บุคลิกภาพของสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ดังนั้น เมื่อสามารถ ทราบบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมของบุคคลแล้ว ก็จะทำให้ทราบผลที่จะติดตามมาของบุคคลนั้นด้วย เช่น การเลือกอาชีพ ความสำเร็จในอาชีพ ตลอดจนทั้ง พฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งการศึกษาอาชีพและสังคมด้วย2. สาระของทฤษฎีสรุปทฤษฎีของเขาไว้ 4 ประการดังนี้ คือ2.1 ในสังคมของวัฒนธรรมตะวันตก สามารถแบ่งบุคคลออกตามลักษณะของบุคลิกภาพได้ 6 ประเภท คือ พวกชอบเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม (Realistic) พวกที่ชอบเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ใช้ความคิด การแก้ปัญหา (Intellectual) พวกชอบเข้าสังคม (Social) พวกชอบระเบียบแบบแผน (Conventional) พวกที่มีความทะเยอทะยาน ชอบมีอำนาจ (Enterprising) และพวกชอบศิลปะ (Artistic)2.2 บรรดาอาชีพต่าง ๆ นั้น สามารถแบ่งตามลักษณะและสภาพแวดล้อมได้ 6 ชนิด ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกภาพของคนทั้ง 6 ประเภท2.3 บุคคลย่อมแสวงหาสภาพแวดล้อมและอาชีพ ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ความสามารถและทักษะ เพื่อแสดงออกถึงค่านิยมและทัศนคติ ตลอดจนการ มีบทบาทที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงบทบาทที่ไม่เหมาะสมกับตนเอง2.4 พฤติกรรมของบุคคลสามารถอธิบายได้จากปฏิกิริยาระหว่างแบบฉบับแห่งพฤติกรรมของ เขากับสภาพแวดล้อมของเขาท่านมีแนวถนัดด้านใดบ้างคนเรานั้นมีความถนัดในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลาย ๆ สิ่งด้วยกันทุกคน แต่มีระดับความสามารถมากน้อยแตกต่างกันไป บางคนมีความถนัดใน การทำงานหลาย ๆ ด้าน แต่บางคนมีความถนัดในการทำงานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะความถนัดก็คือ ระดับความสามารถของบุคคล ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ โดยที่บุคคลนั้น ๆ ได้รับการฝึกอบรม หรือมีประสบการณ์ในงานนั้นๆ มาคู่กัน และสามารถที่จะนำ ประสบการณ์หรือความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมนั้นไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ สำหรับการสำรวจตัวท่านเองว่าเป็นคนอย่างไร มีบุคลิกภาพอย่างไร ตลอดจนพฤติกรรมและลักษณะที่เป็นทั้งข้อดีข้อเสีย มีความเชี่ยวชาญ ชอบงาน ประเภทใด และมีความถนัดทางด้านใด จะช่วยให้เราสามารถมองภาพที่เป็นตัวเองได้ทั้งหมดจอห์น แอล ฮอลแลนด์ ได้จำแนกประเภทอาชีพตามบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็น 6 กลุ่ม ซึ่งสามารถตัดสินใจก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพดังนี้ลักษณะโดยทั่วไปผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบนี้ จะชอบกิจกรรมที่ต้องใช้พละกำลังชอบทำจักรกล ขาดทักษะในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องสังคมกับบุคคลอื่น ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของผู้อื่น ค่อนข้างก้าวร้าว มีลักษณะเป็นชาย มีค่านิยมทางเศรษฐกิจและการเมือง ในรูปแบบที่มีระเบียบแบบแผนยึดถือประเพณีนิยมลักษณะเด่นของบุคลิกภาพมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความอดทน มีความบากบั่น กล้าแสดงผลงาน ขาดทักษะในการสร้างสัมพันธภาพทางสังคมกลุ่มที่ 2 บุคลิกภาพแบบที่ต้องใช้เชาวน์ปัญญาและความคิดนักวิชาการ หรือผู้ใช้กิจกรรมทางปัญญาในการแก้ปัญหา และแสวงหาความรู้ (Investigative)ลักษณะโดยทั่วไปผู้ที่มีบุคลิกแบบนี้จะชอบคิด สังเกต วิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล ชอบแก้ปัญหา ชอบใฝ่หาความรู้ มีหลักการ ชอบทำงานที่สลับซับซ้อน มากกว่าเป็นผู้ลงมือทำ ไม่ติดประเพณีนิยมหลีกเลี่ยงการค้า การชักชวน การเข้าสังคมและการเลียนแบบลักษณะเด่นมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความคิดเห็นรุนแรง มีความบากบั่นอุทิศเวลาให้กับงาน เก็บตัวไม่ใคร่สนใจการประเมินตนเองมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบเอาอย่างใครสูง มีความร่าเริงต่ำกลุ่มที่ 3 บุคลิกภาพแบบมีศิลปะ (Artistic)ลักษณะโดยทั่วไปผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ชอบกิจกรรมเกี่ยวกับนามธรรม เป็นอิสระ รักความงาม มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบใช้ชีวิตและกิจกรรมแบบตามลำพังไม่ค่อยควบคุมตัวเอง มักทำตามใจที่ตนปรารถนา มีความต้องการแสดงออกถึงลักษณะเฉพาะตัวของตัวเอง ชอบงานทางศิลปะ ไม่ชอบเลียนแบบ มีความคิดริเริ่ม หลีกเลี่ยงงานประเภทใช้ระเบียบแบบแผนลักษณะเด่นของบุคลิกภาพมีสุนทรีย์ มีศิลปะ ชอบคิดคำนึง ชอบครุ่นคิดคนเดียว เก็บตัวการประเมินตนเองมีความเป็นอิสระสูง มีความเข้าใจในตนเองสูง มีความสามารถในการควบคุมตนเอง มีความสามารถในการแสดงความรู้สึกกลุ่มที่ 4 บุคลิกภาพที่ชอบสมาคม สังคมกับบุคคลอื่น มีความสนใจสังคม (Social)ลักษณะโดยทั่วไปผู้มีบุคลิกภาพแบบนี้ชอบติดต่อกับคน ชอบสนทนา ชอบให้ความรู้ สอนผู้อื่น ชอบแสดงตัวร่าเริง มีความรับผิดชอบ มีทักษะทางภาษา ต้องการความสนใจ ชอบ ช่วยเหลือผู้อื่น มีลักษณะเป็นผู้หญิง หลีกเลี่ยงการใช้ความคิดทางปัญญา มีแก้ปัญหาโดยคำนึงถึงความรู้สึก หลีกเลี่ยงงานที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ หรือทางวิทยาศาสตร์ลักษณะเด่นของบุคลิกภาพชอบสมาคม ร่าเริง ชอบเที่ยว รักษาประเพณี มีความรับผิดชอบ มีอำนาจอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นๆ มีลักษณะท่าทาง นิสัยเป็นหญิงกลุ่มที่ 5 บุคลิกภาพแบบกล้าคิดกล้าทำ มีธรรมชาติที่ชอบทำกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการวางแผนหรือผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ (Enterprising)ลักษณะโดยทั่วไปจะมีลักษณะของความเป็นผู้นำ มีความคิดริเริ่ม มีความเชื่อมั่นในตัวเองกล้าโต้แย้ง กล้าได้กล้าเสีย พร้อมที่จะทดลอง มีความเป็นอิสระ มีความสนใจอำนาจ มีความก้าวร้าวทางวาจา มีทักษะในการเจรจา มักหลักเลี่ยงสภาพการณ์ที่ต้องใช้กำลังทางปัญญาอันยาวนาน ไม่ชอบกิจกรรมที่เป็นระเบียบแบบแผนลักษณะเด่นกล้าคิดกล้าทำ ชอบวางแผน ชอบสมาคม มีอำนาจเหนือผู้อื่น ร่าเริง สนุกสนาน ทำตามอารมณ์ ไม่ชอบใช้กำลังความคิดอันยาวนานการประเมินตนเองมีความเป็นผู้นำ ชอบการสมาคม มีความก้าวร้าว มีความเข้าใจตนเองกลุ่มที่ 6 บุคลิกภาพแบบที่ทำตามระเบียบแบบแผน (Conventional)ลักษณะโดยทั่วไปมักชอบใช้กิจกรรมเป็นรูปธรรมและกิจกรรมทางภาษายึดถือประเพณี ชอบทำตามระเบียบแบบแผนมากกว่าการริเริ่มด้วยตนเอง เป็นพวกวัตถุนิยมและ เจ้าระเบียบ ชอบการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ชอบเลียนแบบ เป็นผู้ตามลักษณะเด่นอาศัยผู้อื่น รักษาระเบียบประเพณีการประเมินตนเองมีจิตใจที่ทำอะไรทำจริง เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนที่มา : กระทรวงแรงงาน
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่โลกหมุนเร็วเหมือนกดปุ่มFast-Forward เทคโนโลยีใหม่ๆ และAI (ปัญญาประดิษฐ์) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานเราไปแล้ว คำถามสำคัญคือ... ทักษะที่เรามีในวันนี้ จะยังดีพอสำหรับโลกการทำงานในปี2026 หรือไม่?การUpskill (ต่อยอดทักษะเดิม)และReskill (สร้างทักษะใหม่)ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ "ทางรอด" ของคนทำงานยุคใหม่ วันนี้จะมา "เปิดโผ"6ทักษะดิจิทัลสำคัญ ที่จะช่วยให้คุณไม่ใช่แค่ "อยู่รอด" แต่ยัง "เติบโต" และเป็นที่ต้องการตัวในตลาดแรงงานแห่งอนาคต!1.การใช้และสั่งการ AI (AI Literacy & Prompt Engineering)ในเมื่อAI คือผู้ช่วยคนใหม่ การ "คุย" กับAI ให้รู้เรื่องจึงเป็นทักษะสำคัญ ไม่ใช่แค่การใช้ChatGPT ถามตอบ แต่คือการเขียนคำสั่ง (Prompt) ที่เฉียบคม เพื่อให้AI ช่วยสร้างสรรค์งาน, วิเคราะห์ข้อมูล, หรือสรุปงานที่ซับซ้อนให้เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ2.การตัดสินใจด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making)ยุคนี้เลิกใช้ "ความรู้สึก" นำทาง! องค์กรต้องการคนที่สามารถอ่านข้อมูลพื้นฐาน, ทำความเข้าใจกราฟ, และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจได้ ทักษะนี้จะเปลี่ยนคุณจาก "คนทำงาน" ให้กลายเป็น "นักกลยุทธ์"3.ความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Awareness)เมื่อทุกอย่างออนไลน์ ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่ฝ่ายไอที การรู้เท่าทันPhishing, การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย, และการใช้งานWi-Fi สาธารณะอย่างระมัดระวัง คือทักษะพื้นฐานที่ช่วยป้องกันความเสียหายมหาศาลให้กับองค์กรได้4.การตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ (Digital Marketing & E-commerce)ไม่ว่าคุณจะอยู่แผนกไหน การเข้าใจวิธีการทำงานของโลกออนไลน์, การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย, หรือหลักการของแพลตฟอร์มE-commerce จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมธุรกิจและสร้างประโยชน์ให้องค์กรได้มากขึ้น5.การบริหารโปรเจกต์ดิจิทัล (Digital Project Management)ทักษะการใช้เครื่องมือทำงานร่วมกันทางไกล (Remote Collaboration Tools) และการบริหารจัดการโปรเจกต์ให้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลาในยุค Hybrid Working6.การสร้างสรรค์คอนเทนต์ดิจิทัล (Digital Content Creation)ความสามารถในการสื่อสารไอเดียผ่านรูปแบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการทำสไลด์นำเสนอที่น่าสนใจ, การตัดต่อวิดีโอสั้นๆ, หรือการเขียนบทความสรุปที่เข้าใจง่าย คือทักษะที่จะทำให้งานของคุณโดดเด่นและน่าสนใจกว่าใครที่มา : https://www.jobbkk.com
อ่านเพิ่มเติม1.วิเคราะห์งาน ฝ่ายบุคคล หรือHR บริษัทมักจะระบุคุณสมบัติของผู้สมัครงานและรายละเอียดงานต่าง ๆ การวิเคราะห์งานจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเตรียมตัวในการสัมภาษณ์งาน เพื่อให้คุณตรวจสอบรายละเอียดของงาน และพิจารณาว่าบริษัทกำลังมองหาอะไรในตัวของผู้สมัคร2.วิเคราะห์ตัวเอง การรู้วิเคราะห์ตัวเองถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เรารู้จักตัวเองได้มากขึ้นและรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ขอบอกเลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เป็นคำถามยอดฮิตที่HR มักจะถามในการสัมภาษณ์งานเลย3.ศึกษาข้อมูลของบริษัท ก่อนไปทำการสัมภาษณ์งาน ควรที่จะศึกษาข้อมูลของบริษัทที่คุณกำลังที่จะไปสัมภาษณ์งานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณเตรียมคำตอบเกี่ยวบริษัท เนื่องจากหลาย ๆ ครั้งผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถามเกี่ยวกับบริษัท หรืออาจจะถามว่า “คุณรู้จักบริษัทที่สมัครงานดีแค่ไหน” และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจในงานและบริษัทนั้นมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย4.ฝึกซ้อมสัมภาษณ์งาน การฝึกซ้อมสัมภาษณ์ช่วยให้คุ้นเคยกับการสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมหน้ากระจก การตั้งกล้องเพื่อบันทึกวิดีโอ หรือซ้อมกับเพื่อนก็ตาม เพื่อดูว่าบุคลิกภาพของคุณเวลาสัมภาษณ์แสดงออกเป็นแบบไหน น้ำเสียงขณะสัมภาษณ์เป็นอย่างไร เพื่อให้แก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด5.เตรียมการแต่งกายให้พร้อม สิ่งแรกผู้สัมภาษณ์หรือHR จะสังเกตเห็นเกี่ยวกับตัวคุณ คือการแต่งกายและบุคลิกภาพภายนอก การแต่งกาย แต่งหน้า รวมไปถึงการทำผมที่เหมาะสมและสุภาพนั้น ช่วยทำให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้หากคุณเลือกโทนหรือเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวคุณยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวคุณได้อีกด้วย6.เตรียมคำถามเพื่อถามHRหรือผู้สัมภาษณ์ การถามคำถามของผู้สมัคร สำคัญไม่แพ้กับการตอบคำถาม เชื่อว่าก่อนจบในการสัมภาษณ์งานทุกครั้งผู้สมัครก็มักจะเจอคำถาม “คุณมีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหม” หลาย ๆ ท่านคงตอบปฏิเสธไปว่า “ไม่มีคำถาม” รู้หรือไม่ว่าคำถามนี้ หากคุณถามคำถามได้ดีถือว่าเป็นโอกาสทองที่ดีสำหรับผู้สมัครเลยก็ว่าได้ ดังนั้นควรที่จะเตรียมคำถามสำหรับถามHR ให้เป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงคำถามที่เกี่ยวกับการซุบซิบในที่ทำงาน7.เตรียมเอกสารให้พร้อม นอกจากการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานแล้ว ในการไปสัมภาษณ์ทุกครั้ง ควรที่จะเตรียมเอกสารให้พร้อม เช่น แฟ้มสะสมผลงานResume เอกสารทางการศึกษา และเอกสารแสดงตัวตน เป็นต้น เอกสารที่เตรียมไปนั้นควรเตรียมไปเผื่อ2-3 ชุด พร้อมทั้งเซ็นรับรองให้เรียบร้อย7เทคนิคการสร้างความประทับใจในการสัมภาษณ์งาน1.พูดชัดถ้อยชัดคำ ส่งผลดีต่อบุคลิกภาพและการสื่อสารที่ดีของผู้สมัคร อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการพูด ที่สำคัญควรเรียบเรียงการตอบคำถามหรือคำพูดให้ดี2.เลือกการใช้ระดับภาษาที่เหมาะสม ควรเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารให้เหมาะสม ไม่ควรเป็นทางการจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรพูดเล่นหรือติดตลกมากเกิน เพราะจะทำให้คุณหมดความน่าเชื่อถือ3.ให้ความสำคัญกับภาษากาย ภาษากาย หรืออวัจนภาษา มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่า “คุณเป็นคนอย่างไร” หากคุณแสดงภาษากายไม่เหมาะสมก็จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของคุณไม่ดีไปด้วย4.ไม่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าหรือนายจ้างเก่า ในการสัมภาษณ์งานคุณไม่ควรแสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงานเก่าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้คุณดูไม่มีความเป็นมืออาชีพ อีกทั้งยังส่งผลให้คะแนนติดลบไปอีก5.ตั้งใจฟังคำถาม และเป็นผู้ฟังที่ดี ในระหว่างการสัมภาษณ์งานคุณควรที่จะตั้งใจฟังคำถามและในช่วงที่ผู้สัมภาษณ์หรือ HR อธิบายลักษณะงาน เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความสนใจในการทำงาน6.รู้จักตั้งคำถาม การสัมภาษณ์งานที่ดีนอกจากเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว คุณไม่ควรปล่อยให้ผู้สัมภาษณ์อธิบายงานหรือถามเพียงฝ่ายเดียว หากมีโอกาสได้ถามหรือผู้สัมภาษณ์เปิดโอกาสให้คุณถามคำถาม คุณควรที่จะตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อแสดงความกระตือรือร้นต่องาน7.มีสติในการตอบคำถามทุกครั้ง การมีสติช่วยให้ลดความประหม่า และความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับคุณได้ ดังนั้นคุณควรตั้งสติและคิดอย่างรอบคอบก่อนตอบคำถามทุกครั้งสรุปสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน การเตรียมตัวสัมภาษณ์งานช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สมัคร นอกจากนี้คุณสามารถประเมินความสามารถของตนเอง และปรับปรุงบุคลิกภาพขณะสัมภาษณ์งานผ่านการฝึกซ้อมได้ด้วย สุดท้ายนี้ ไม่มีการสัมภาษณ์งานใดที่ทำให้คุณเสียเวลา แม้ว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน หรือแม้กระทั่งงานดังกล่าวไม่เหมาะสมกับคุณก็ตาม การสัมภาษณ์งานทุกครั้งเป็นการเปิดโอกาสในคุณได้ฝึกฝนทักษะการพูดและการสัมภาษณ์ไปในตัวที่มา: https://www.humansoft.co.th/th/blog/prepare-for-a-job-interview
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บทบาทของการเป็นผู้นำในยุคนี้ไม่ใช่แค่เพียงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ แต่คือการสร้าง ‘ความพร้อม’ ให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านAI, ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ล้วนเป็นแรงกดดันใหม่ที่ทำให้องค์กรไม่อาจพึ่งพา “ความแข็งแกร่ง” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ความมั่นคงในวันนี้อาจเกิดขึ้นจาก “ความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างความยืดหยุ่น” อยู่เสมอปี2025 จึงเป็น ปีแห่งการลงมือทำ เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับอนาคตในปี2026บทความนี้Skooldio ได้สรุป5 หลักคิดสำคัญของ Future-Ready CEO พร้อมแนวทางปฏิบัติจริงที่จะช่วยให้คุณพาองค์กรก้าวผ่านความไม่แน่นอนด้วยความมั่นใจ5 หลักคิดของผู้นำพร้อมรับปี 20261. เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ (Embrace Bold Transformation)ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว IBM ชี้ว่าCEO ต้องมีความกล้าหาญเป็นแกนหลัก กล้าที่จะโอบรับทั้งความเสี่ยงและโอกาสสร้างทีมที่กล้าลองผิดลองถูก กล้าทดลอง เรียนรู้ ปรับความเร็วให้เหมาะสม ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ เพื่อเดินหน้าต่อไป2. นำทีมใช้AI อย่างมีกลยุทธ์ (Strategically Lead the AI Revolution)AI คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รายงานจากMIT CISR ระบุว่า บริษัทที่มีบอร์ดบริหารที่เข้าใจทั้งDigital และAIสามารถสร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง10.9%McKinsey ยังสรุปบทเรียนสำคัญจากWorld Economic Forum ที่Davos ว่าGenerative AI คือโอกาสที่มีมูลค่าสูงถึง4.4 ล้านล้านดอลลาร์ และมีพลังในการพลิกโฉมทั้งองค์กร แต่ความท้าทายคือมีเพียง11% ของโปรเจกต์gen AI pilots เท่านั้นที่สามารถขยายผลได้จริง (“only 11 percent of gen AI pilots actually scale”- McKinsey & Company)สิ่งที่CEO ต้องทำจึงไม่ใช่แค่ทดลองAI แต่ต้องเปลี่ยนไปสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรโดยเน้นโปรเจกต์ที่ให้ผลลัพธ์และROI ชัดเจนนอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่อง ข้อมูล เพราะข้อมูลคือรากฐานของAI หากองค์กรไม่มีโครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรงการลงทุนด้าน AI อาจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น3. สร้างองค์กรให้คล่องตัว รับมือความเปลี่ยนแปลง (Cultivate Strategic Agility in a Volatile World)ในโลกที่ผันผวนและคาดเดายาก ผู้นำควรติดตามความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เศรษฐกิจ หรือภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ฯลฯ เพื่อประเมินทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้ก่อนคู่แข่งนอกจากนี้การวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยยังรักษาความสามารถในการแข่งขันและไม่พลาดโอกาส ในตลาดเกิดใหม่ พร้อมกันนั้นยังคงเสริมความแกร่งในตลาดเดิมได้อย่างยั่งยืน4. ลงทุนในคนและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับอนาคต (Invest in Future-Ready People and Culture)Future of Jobs Report 2025 โดยWorld Economic Forum คาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นสุทธิ78 ล้านตำแหน่งภายในปี2030 แต่39% ของทักษะสำคัญจะเปลี่ยนแปลงไปดังนั้นผู้นำควรปิดช่องว่างนี้ด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงความรู้ที่เป็นเชิงทฤษฎีให้พวกเขาสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้จริงในงานนอกจากนี้อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรคือ ผู้จัดการ ที่ผู้นำจำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมไม่เพียงแค่เรื่องเครื่องมือAI แต่รวมไปถึงการพัฒนาhuman skills ต่าง ๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ, การcoaching, strategic problem-solving เป็นต้นผู้จัดการจะกลายเป็นผู้ที่ดูแลการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด5. ผสานความยั่งยืนและความยืดหยุ่น (Integrate Sustainability & Resilience)ในเดือนตุลาคม2024 PwC Pulse Survey รายงานว่า64% ของผู้บริหารมองว่า Climate Change เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจในระดับปานกลางถึงรุนแรง เพิ่มขึ้นจาก61% ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันPwC ยังระบุว่า “Sustainability unlocks enormous opportunities.”หากมองให้ลึก ความยั่งยืนยังเปิดประตูสู่ โอกาสใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในตลาดที่เกิดใหม่ การดึงดูดลูกค้าและพนักงานกลุ่มใหม่ ที่จะร่วมกันสร้างองค์กรที่ให้คุณค่ากับStakeholders อย่างแท้จริงนอกจากนี้ท่ามกลางโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการ เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรรายงานจากEY ซึ่งสำรวจcorporate directors เกือบ500 คนจาก7 ประเทศในทวีปอเมริกา พบว่าในปี2025 บอร์ดบริหารจะให้ความสำคัญกับ4 เรื่องหลัก เพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับความไม่แน่นอนและการTransformation ได้แก่:Capital StrategyTechnological Security & InnovationGeopolitical Scenario PlanningTalent Advantageจากหลักคิดสู่การปฏิบัติ: 6 สิ่งที่CEO ต้องลงมือทำการมีหลักคิดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่แยก ‘องค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต’ ออกจากองค์กรทั่วไป คือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิด ไปสู่การปฏิบัติจริงการเป็นFuture-Ready CEO จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการมองเห็นเทรนด์หรือกำหนดวิสัยทัศน์ แต่คือการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าแม้ในสภาวะที่ไม่แน่นอนรายงานจากBCG ระบุว่า มี6 action ที่CEO เท่านั้นสามารถทำได้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (Create Purpose and Clarity)CEO ต้องกำหนดและสื่อสารวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกลยุทธ์กับเป้าหมายและสิ่งที่วัดผลได้ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในองค์กร2. โฟกัส (Create Focus)แปลง ‘Vision’ ให้เป็นสิ่งที่องค์กรสามารถลงมือทำได้จริง มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญสูงสุด ทุ่มทรัพยากรและพลังงานไปยังงานที่สร้างผลลัพธ์ พร้อมทั้งรู้ว่าอะไรควรหยุดทำเพื่อไม่ให้ทีมไขว้เขว3. สร้างศักยภาพให้องค์กร (Create Capacity)สร้างศักยภาพให้ทีมและองค์กรผ่านการใช้เทคโนโลยีและ AI, การupskilling ไปพร้อม ๆ กับการดูแลใจคนในองค์กร4. สร้างแรงผลักดัน (Create Drive)สร้างแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ทีมเชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้ พร้อมสร้างความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนBCG ระบุว่า ‘Storytelling’ เป็นเครื่องมือทรงพลัง หากCEO เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่ตนได้ลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่างจริง ก็จะยิ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นั้น ย้ำให้ทีมเห็นว่ามันเป็นไปได้จริง พร้อมทั้งผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้เร็วและไกลขึ้น5. ลดความซับซ้อน (Reduce Complexity)แน่นอนว่าเมื่อธุรกิจเติบโต ความซับซ้อนก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าความซับซ้อนนั้นไม่ได้สร้างคุณค่าก็จะยิ่งถ่วงทีมให้ช้าลงCEO ต้องลดความซับซ้อนในบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่อาจทับซ้อนกันอยู่ และ ‘Align’ โปรเจกต์ต่าง ๆ กับเป้าหมายสำคัญขององค์กร เพื่อให้ทีมทำงานได้อย่างคล่องตัวและโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริง ๆ6. ลดความขัดแย้ง (Reduce Friction)Unconstructive Friction หรือความขัดแย้งที่ไม่สร้างสรรค์ในทีม เป็นสิ่งที่บั่นทอนความไว้วางใจและชะลอความก้าวหน้าขององค์กรดังนั้นCEO จึงควรเสริมสร้างวัฒนธรรมที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัย และจัดการกับความขัดแย้งอย่างตรงไปตรงมาที่มา: https://blog.skooldio.com/the-future-ready-executive-2026/
อ่านเพิ่มเติมคนยุคใหม่ใช้GenAI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวราวกับเป็นแขนขาที่สาม ภาระหน้าที่หลายอย่างที่เคยต้องเสียเวลาเป็นวันก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจหลักนาทีเพราะมีAI คอยGenerate ให้ตามคำสั่ง ขอแค่ป้อนPrompt ที่ดีพอจะให้ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจทว่าความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมประเด็นถกเถียงว่า ‘มนุษย์จะโง่ลงเพราะAI หรือเปล่า?’GenAIทำให้คนคิดน้อยลงMIT Media Lab พบว่า การทำงานของสมองลดลงเมื่อใช้LLM (Large Language Model) เทียบกับการค้นหาเว็บและการคิดเองทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้LLM มาก่อนแล้วต้องคิดเอง ก็มีแนวโน้มที่จะคิดได้น้อยลง และอาจลืมสิ่งที่เพิ่งเขียนไปเช่นเดียวกับรายงานจากMicrosoft Research ที่ได้สำรวจกลุ่มคนที่ทำงานด้านความรู้กว่า 319 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบมากกว่า70% รู้สึกว่าใช้ความพยายามทางสมองน้อยลงมากเมื่อใช้ GenAI โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและการวิเคราะห์แม้จะผลการสำรวจจะเอนเอียงไปว่าการพึ่งพา GenAI จะทำให้ใช้สมองน้อยลง แต่ก็ยังเหลือคนอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความเห็นว่า ‘พวกเขาได้ใช้ความคิดมากขึ้น’ เช่นกันAI ไม่ได้แทนที่ แต่เปลี่ยนรูปแบบนักวิจัยของMicrosoft Research ได้เตือนว่า ‘การพึ่งพาเกินพอดี’ อาจทำให้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในระยะยาวของคนเราลดลงทว่าแท้จริงแล้วGenerative AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่การคิดเชิงวิพากษ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลง ‘รูปแบบ’ ของมัน มนุษย์ยังคงต้องคิดอย่างรอบคอบในขั้นตอนต่างๆ โดยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์กำลังเปลี่ยนไปในรูปแบบใหม่ ได้แก่-การตั้งเป้าหมายและออกคำสั่ง (Prompting):เช่น การคิดว่าจะสื่อสารกับAI อย่างไรให้สร้างภาพตามจินตนาการได้-การตรวจสอบผลลัพธ์ (Inspection):ตรวจสอบว่าAI ให้ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ อ้างอิงจากแหล่งใด-การบูรณาการ (Integration):การเลือกสิ่งที่ใช้ได้จากAI แล้วปรับให้เข้ากับงานของตัวเองใช้AIให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่โง่ลงเพื่อให้การทำงานในโลกยุคGenAI คือตัวช่วยส่งเสริมศักยภาพมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่การลดระดับมันสมอง ควรใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยงานผ่านFrameworks ทั้ง5 ข้อนี้1.ถามอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ ‘ให้ช่วยคิดแทน’:ควรคิดและตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจง เช่น แทนที่จะบอกว่า ‘ช่วยคิดหัวข้อหน่อย’ ควรระบุว่า ‘ผมอยากทำหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา-เศรษฐกิจ ที่เชื่อมกับอนาคตอีสาน ช่วยแตกเป็น3 idea พร้อมจุดขาย-กลุ่มเป้าหมายได้ไหม’ การทำเช่นนี้ทำให้คุณได้ฝึกคิดและAI จะตอบสนองได้ตรงจุดมากขึ้น2.วิจารณ์ผลลัพธ์ ไม่ใช่เชื่อทันที:ตั้งคำถามเสมอว่า ผลลัพธ์ที่ได้มีอคติหรือไม่ อิงข้อมูลอะไร และคุณมีข้อมูลที่ตรงข้ามหรือไม่ การเชื่อทุกอย่างที่AI ตอบจะปิดโอกาสในการเรียนรู้ 3.AIคือเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช้ทางลัด:ใช้AI ช่วยสรุปสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ แตกประเด็นให้คุณต่อยอด หรือทวนความเข้าใจของคุณ ยิ่งคุณป้อนความคิดที่ดีเข้าไปมากเท่าไหร่AI ก็จะตอบกลับมาให้คุณฉลาดขึ้นเท่านั้น4.ให้feedback กับAIตลอดเวลา:ลองChallenge ด้วยการพิมพ์กลับไปว่า ผลลัพธ์ที่ให้มายังไม่ลึกพอ ช่วยเพิ่มเติมตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาที่มีอยู่จริงมาได้ไหม การฝึกตั้งคำถามและให้feedback จะช่วยลับคมความคิดของคุณเอง5.ใช้AI เพื่อ ‘คิดร่วม’ ไม่ใช่ ‘คิดแทน’:มองAI เป็นคู่คิดที่ดี หรือที่ปรึกษาข้างตัวคุณ คุณจะไม่โง่ลงถ้า “คิดก่อนใช้ วิเคราะห์หลังใช้ และเรียนรู้ระหว่างใช้”การใช้AI อย่างชาญฉลาดคือการที่เรา ‘รู้จักจุดแข็งของตัวเอง’ ในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ต้องใช้สัญชาตญาณ ซึ่งAI ยังทำได้ไม่ดีเท่า และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจบริบทงานที่เราทำอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะรู้ว่าส่วนไหนของงานที่AI สามารถเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ หรือทำงานแทนเราได้การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ตกเป็นแค่ผู้ใช้เครื่องมือ แต่ยังคงเป็น ‘ผู้ควบคุมและผู้สร้างสรรค์’ ตัวจริง ที่ไม่ถูกเทคโนโลยีชี้นำไปเสียก่อนที่มา : https://thestandard.co/how-to-use-ai-critical-thinking-smart/
อ่านเพิ่มเติมแฟชั่น หนัง เพลง ยังมีเทรนด์เปลี่ยนไปในทุกปี โลกการทำงานที่อยู่กับเราเกือบทั้งสัปดาห์ แน่นอนว่าไม่หยุดนิ่งเป็นแบบแผนเดิมตลอดไปแน่นอนอย่างในปี2025 แม้จะไม่มีBuzz Word ใหม่ๆ มาเรียกเสียงฮือฮา แต่คำที่คุ้นเคยกันอย่างAI ปัญญาประดิษฐ์ก็ยังไม่หายไปไหน และเข้ามามีบทบาทที่เริ่มใช้งานจริงอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในช่วงแรกนั้นเราต่างตระหนกต่อการถูกแทนที่ด้วยเจ้าสิ่งนี้ แต่ทางออกที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดคือการปรับตัวปีนี้ จึงเป็นเหมือนปีแห่งการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อให้ตัวเราอยู่รอดในทุกสถานการณ์ที่เผชิญได้ มาดูกันว่าเทรนด์ในโลกการทำงานที่น่าสนใจในปีนี้ มีอะไรกันบ้าง สิ่งไหนใกล้ตัว สิ่งไหนปรับใช้ได้ รู้ไว้ปรับตัวได้ก่อนใคร1.The Great Detachmentเกาะงานประจำ แต่ไม่อินกับมันอีกต่อไปในช่วงหลายปีก่อน โลกการทำงานเผชิญกับThe Great Resignation อัตราลาออกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยผู้คนแสวงหาความมั่นคงในวันที่โลกสั่นไหวด้วยโรคระบาด หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากเทียบตัวเลขปีต่อปีแล้ว อัตราการลาออกถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นจนน่าหวั่นใจเท่าไหร่นักอาจด้วยความกังวลเรื่องที่ตลาดแรงงานอ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เหล่าคนทำงานยังคงเกาะเก้าอี้งานประจำของตัวเองเอาไว้แน่น แต่สิ่งที่ควรเป็นห่วงคือ ความพอพึงพอใจต่องาน ผลสำรวจจากGallup พบว่าความรู้สึกพึงพอใจต่องานของเหล่าพนักงาน ลดน้อยลงไปแตะในระดับเดียวกับช่วงโรคระบาด นั่นหมายความว่า แม้ตัวจะอยู่กับองค์กรเดิม แต่ใจกลับไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับงานเท่าแต่ก่อนแล้ว ที่ยังต้องอยู่เพื่อให้มีกินมีใช้ ไม่ใช่เพราะแพสชั่น ความมุ่งมั่นในอาชีพ2.Centric Leadership โดยมนุษย์แม้AI จะเข้ามามีบทบาทได้ถึงด้านการบริหารจัดการทีมในบางส่วน แต่ผู้นำที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ ก็ไม่ได้ถูกแย่งเก้าอี้ไปเสียทีเดียว ตราบใดที่องค์กรยังมีพนักงานเป็นคนจริงๆ ก็ยังต้องการผู้นำที่มีความเป็นคน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางอารมณ์และสร้างทีมที่เหนียวแน่น ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าอกเข้าใจ ที่ยังไม่อาจถูกแทนที่ได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกมีส่วนร่วม มีคุณค่า สิ่งนี้ยังต้องถูกขับเคลื่อนจากผู้นำที่มีเลือดเนื้ออยู่เสมอ3.Reskilling Upskilling ต่อไม่หยุดยั้งหากAI เรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง นั่นหมายความว่ามันอาจมีลูกเล่นใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์เราได้เสมอ หากเราอยากต่อกรกับมัน สร้างความมั่นคงให้กับหน้าที่การงาน เราเองก็ต้องพัฒนาทักษะของตัวเองไปด้วยเช่นกัน อาจไม่ต้องถึงขั้นเรียนรู้เพื่อสู้กับ AI โดยเฉพาะ (เพราะแทบเป็นไปไม่ได้) แต่เราต้องเสริมชุดความรู้ที่มีให้อัปเดตอยู่เสมอ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งเราเองและองค์กร เพื่อให้เรามีพื้นที่และมีความสำคัญต่อสายพานการทำงานอยู่เสมอ และที่สำคัญ องค์กรเองก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะของพนักงานด้วย4.AI มีบทบาทใน Human Resourcesหลายคนอาจเคยได้ยินแล้วว่า เดี๋ยวนี้Resume ที่ร่อนไปถึงบริษัทต่างๆ ไม่ได้ผ่านสายตามนุษย์เป็นด่านแรก แต่ถูกคัดกรองด้วยAI ต่างหาก และในปีนี้มีแนวโน้มว่าAI จะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวในสายงานทรัพยากรบุคคล ด้วยการรับหน้าที่จัดการงานประจำวันทั่วไป อย่างงานเอกสาร ประเมินตัวเลข การจัดการทั่วไป เป็นต้นส่วนมนุษย์นั้นจะรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ด้วยกัน อย่างการวางกลยุทธ สร้างความเป็นทีม วัฒนธรรมองค์กร หรือหน้าที่ใดๆ ที่ต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์และความเห็นอกเห็นใจ5.Rise Of Gray-Collar ผู้สูงอายุยังสานต่องานไหวแม้อายุจะเลยจุดสูงสุดในสายอาชีพหรือถึงวัยต้องวางมือตามที่บริษัทกำหนดไว้ แต่ตลาดแรงงานยังคงต้องการแรงงานที่มีทักษะเทคนิคเฉพาะทางอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่มีทักษะหลายด้านในตัวเอง ทั้งฝั่งพนักงานออฟฟิศ (White collar) และ ฝั่งใช้แรงงาน (Blue collar) บวกกับความเชี่ยวชาญที่เพิ่มพูนตามอายุงานแล้ว ทำให้เหล่าGray-Collar ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพนักงานออฟฟิศและผู้ใช้แรงงาน อย่าง สถาปนิก วิศวกร แม้จะสูงวัย แต่ยังคงสามารถทำงานต่อในหน้าที่เดิมของตัวเองได้และยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอีกด้วยที่มา : https://thematter.co/lifestyle/working-trend-2025/236669
อ่านเพิ่มเติมJobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานของไทย ได้เปิดเผยรายงาน ‘Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report’ ประจำปี2568 ซึ่งชี้ให้เห็น3 สัญญาณการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของตลาดแรงงานไทยที่ทุกองค์กรไม่อาจมองข้าม รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจผู้ประกอบการ702 รายทั่วประเทศในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม2567 เพื่อถอดรหัสความเปลี่ยนแปลงและนำเสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์ให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจหลังจากปี2567 ซึ่งเป็นช่วงที่หลายองค์กรต้องปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจ รายงานHCB ปี2568 ชี้ว่าตลาดแรงงานได้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า53% ขององค์กรที่สำรวจมีแผนจะจ้างพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ตำแหน่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี2568อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน องค์กรจำนวนมากหันมาใช้กลยุทธ์การจ้างงานแบบPart-time และสัญญาจ้างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ พบว่าการจ้างงานแบบ ‘Part-time Permanent’ เพิ่มขึ้นจาก20% เป็น42% ขณะที่ ‘Contract Part-time’ เพิ่มจาก19% เป็น28% แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่ภาพรวมตลาดแรงงานไทยยังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียง1%ในมิติของสวัสดิการและผลตอบแทน องค์กรยุคใหม่กำลังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติมากขึ้น รายงานชี้ว่าในปี2568 องค์กรมีแนวโน้มจะเพิ่มสวัสดิการประเภทวันลาพิเศษมากขึ้น เช่น ลาวันเกิด, ลาสำหรับบิดาเพื่อดูแลบุตร และลาดูแลครอบครัว ซึ่งมีทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ15% นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนครอบครัว เช่น การจัดห้องให้นมบุตรและเบี้ยเลี้ยงด้านการศึกษาด้านค่าตอบแทน พบว่า85% ขององค์กรมีการปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่84% มีการจ่ายโบนัสโดยเฉลี่ยอยู่ที่2 เดือน เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของบุคลากร การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรในระยะยาวสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องของทักษะด้าน AI ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะจาก ‘ทักษะทางเลือก’ ไปสู่ ‘ทักษะบังคับ’ สำหรับแรงงานยุคใหม่ องค์กรกว่า65% ระบุว่ามีการพิจารณาทักษะAI ของผู้สมัครในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานแล้ว และ26% มองว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงาน โดยวิธีการประเมินทักษะมีทั้งการสัมภาษณ์โดยตรง (51%), การพิจารณาจากแฟ้มผลงาน (42%) และการใช้แบบทดสอบเฉพาะทาง (33%)ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการJobsdb by SEEKกล่าวสรุปว่า “ปี2568ถือเป็นปีแห่งการปรับกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน องค์กรในประเทศไทยต่างเริ่มปรับตัวเพื่อให้ทันกับความคาดหวังของแรงงานยุคใหม่ ทั้งในด้านรูปแบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สวัสดิการที่ครอบคลุมคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไปจนถึงทักษะใหม่อย่างAI ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการจ้างงาน”ที่น่าสนใจคือ องค์กรเองก็เริ่มนำAI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรมากขึ้นเช่นกัน โดย34% ขององค์กรที่สำรวจเริ่มนำAI มาช่วยในการเขียนประกาศงานและคัดกรองใบสมัครแล้ว สิ่งนี้สะท้อนว่าAI ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนในตลาดแรงงาน ไม่ใช่แค่เพียงสายงานเทคโนโลยีอีกต่อไปที่มา : https://thestandard.co/thailand-job-market-2025-flexible-hiring-ai-skills/
อ่านเพิ่มเติม1. เลือกเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่าที่สุด ในสายงานนั้นๆในขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือ เมื่อคุณคิดว่าคุณมีประสบการณ์ทำงานมากพอที่จะเขียนลงไปในเรซูเม่ของตัวเองแล้วล่ะก็ ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะเขียนลงไปมันมีค่าในสายตาของผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งก็คือพนักงานสรรหาบุคลากร และผู้ที่จะสัมภาษณ์งานคุณ ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะเป็น Supervisor หรือผู้จัดการ หรือหัวหน้าในสายงานของคุณนั่นเอง อย่าเขียนประสบการณ์ดาดๆที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ แต่ให้เลือกเขียนเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่ามากๆก็พอ2. เน้นประสบการณ์ที่ได้รับการยกย่อง หรือรางวัล (Achievement)ถ้าหากคุณได้รับรางวัลอะไรในสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือผลงานของทีม ไม่ว่ารางวัลนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน นี่แหล่ะคือสิ่งที่มีค่ามากๆที่ควรจะเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่ถ้าคุณมีรางวัลมากล่ะก็ เลือกเขียนอันที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วเรียงลำดับลงมาตามความสำคัญนะครับ3. ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเคส หรือลูกค้าที่โด่งดังในสายงานของคุณในทุกๆสายงานย่อมจะรู้จักกันเองข้ามบริษัท ไม่มากก็น้อย ดั่งคำพูดที่ว่า "วงการมันแคบกว่าที่คิด" ซึ่งสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวงการเลยล่ะ ถ้าคุณมีประสบการณ์เคยทำงานในเคสที่ใหญ่ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าที่ใครๆก็บอกว่าเป็นตัวแม่ของวงการแล้ว หรือมีแต่รายชื่อลูกค้าดังๆแล้วล่ะก็ คุณเองก็จะเนื้อหอมเอามากๆเลย ใครๆก็สนใจอยากจะสัมภาษณ์คุณ4. ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเด่น? ลองเขียนสิ่งที่ทำผ่านมาตรฐานดูสิครับในบางสายงาน อย่างเช่น งานวิศวกร ที่คุณไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่คุณเป็นฟันเฟืองของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ คุณสามารถเขียนสิ่งที่คุณทำแล้วผ่านมาตรฐานต่างๆดูสิครับ สิ่งนี้เองก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้าสายงานอื่นๆเลยครับ มาตรฐานนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่มาตรฐานระดับโลกอย่าง ISO ลงมาจนถึงมาตรฐานของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ได้เลย ขอเพียงเขียนชื่อมาตรฐานให้ถูก อย่าสะกดผิด หรืออย่าเขียนลอยๆว่า "มาตรฐาน" เฉยๆโดยที่ไม่ได้ใส่ชื่อให้มันก็พอ5. เขียนประสบการณ์ทำงานเรียงเป็นลำดับ เอาล่าสุดขึ้นก่อนประสบการณ์ทำงานในเรซูเม่เป็นแบบ เรียงตามเวลา โดยเอาอันล่าสุดขึ้นก่อน ส่วนของเก่าก็อยู่ล่างๆ เรียงกับอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์แฝงอยู่หลายข้อด้วยกัน นอกจากเพื่อที่จะให้อ่านง่ายแล้ว ผู้ที่อ่านเรซูเม่ของคุณยังมองว่าคุณมีความสามารถในการจัดระเบียบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย6. เน้นคีย์เวิร์ด (คำค้น) ให้ชัดเจนเมื่อคุณเขียนเรซูเม่ของตัวเองและนำไปใช้ต่อ จะส่งให้ HR โดยตรง หรืออัพโหลดขึ้นเว็บไซท์สมัครงานต่างๆ คุณจะต้องคำนึงด้วยว่าพนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากร จะค้นหาเจอเรซูเม่ของคุณได้อย่างไร ในกองเรซูเม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครเขาหยิบเรซูเม่มากองละหมื่นใบ แล้วมาอ่านกัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบดิจิทัลกันแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาคำต่างๆที่ต้องการได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือทำให้เรซูเม่ของตัวเอง สามารถค้นหาได้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือแปลงเป็น PDF เท่านั้น ถ้าหากคุณส่งเป็นกระดาษ หรือทำเป็นรูปไปล่ะก็มันจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์คไม่ได้ คุณก็จะเสียเปรียบตรงนี้ไปอย่างมหาศาลเลยล่ะถ้าต้องกรอกข้อมูลใหม่ ก็กรอกให้ครบ อย่าให้ขาด คนส่วนมากมักจะคิดว่าก็ส่งเรซูเม่ให้แล้ว ทำไมไม่อ่าน ทำไมยังต้องกรอกอีก ที่กรอกทั้งหมดนี้สามารถใช้ค้นหาได้อย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ ถ้าคุณปล่อยว่างๆแล้วล่ะก็ เสียดายนะครับสะกดให้ถูก ใช้คำให้ถูก บางคำมีชื่อภาษาอังกฤษ ก็ใส่ไปเลยทั้งอังกฤษ ทั้งไทย เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะถูกค้นหาเจอเช่นถ้าคุณเป็นนักบัญชี และคุณเคยทำงานด้านตรวจบัญชีมาก่อน ก็ให้ว่า Audit หรือ Auditor ในภาษาอังกฤษ แล้วถ้าใส่คำภาษาไทยว่า "นักตรวจสอบบัญชี" ด้วยแล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหามากขึ้นไปอีกครับ7. เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ลองเขียนเรื่องการฝึกงานดูสิถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานแล้วล่ะก็ ให้เขียนประสบการณ์ที่ได้รับตอนฝึกงานลงไปแทน หรือถ้าตอนเรียนคุณได้ทำงาน เฉพาะที่เกี่ยวข้องสายงานนะครับ ก็สามารถเขียนลงไปได้ เช่นถ้าคุณเรียนจบด้านสถาปนิกมา และต้องการสมัครงานสถาปนิก โดยที่ตอนเรียนอยู่เคยทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัทออกแบบโครงสร้างอาคารแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นพนักงานเดินเอกสาร ก็ใส่มันลงไปเถอะครับที่สำคัญก็คือ อย่าใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เพื่อแค่ให้เรซูเม่ดูเต็มๆ หรือมีอะไรเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้พนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากรมองว่า คุณยังไม่ได้สนใจในสายงานนั้นๆขนาดนั้น แล้วก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเด็กจบใหม่อีกคนที่เขียนประสบการณ์ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า8. ข้อมูลที่ดี มีการจัดระเบียบที่ดี มีค่ามากกว่าเรซูเม่สวยๆหลายๆคนก็คงจะเคย โหลดธีมเรซูเม่สวยๆ มาใช้บ้าง ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องจริงที่ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ แต่สวยแล้ว จะต้องมีข้อมูลที่ดี และการจัดระเบียบข้อมูลให้อ่านง่ายสบายตา ถือว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีกว่าสวยอย่างเดียวมากหลายสิบเท่าตัวเลยครับ ดังนั้นจัดระเบียบข้อมูลให้ดีๆนะครับที่มา : www.bestjob.com
อ่านเพิ่มเติม