เว็บไซต์ Amata Jobs Online จัดทำขึ้นโดย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ อมตะ (AMATA) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี และ ระยอง มีโรงงานประกอบกิจการกว่า 1,100 แห่ง สามารถสร้างอาชีพให้กับคนในประเทศมากกว่า 250,000 อัตรา ถือว่าเป็นตลาดงานใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สร้างเรซูเม่สมัครงานฟรี ให้คุณยืนหนึ่งด้วยการนำเสนอตัวตนที่โดดเด่น เพิ่มโอกาสให้คุณได้งาน สร้างเรซูเม่ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย ทำเรซูเม่ที่สวยงาม และใช้งานได้จริง หมดปัญหากับการสร้างเรซูเม่ที่สวย แต่ส่งไปสมัครงานแล้วแป๊กทุกที พร้อมถึงระบบช่วยกรอกเรซูเม่ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจในทุกส่วนของข้อมูลเรซูเม่ และสามารถกรอก ข้อมูลได้ละเอียดที่สุด
สร้างเรซูเม่อมตะซิตี้ ระยอง
อมตะซิตี้ ระยอง
อมตะซิตี้ ชลบุรี
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และชมรมอมตะจิตอาสา ระยอง ได้จัด“โครงการพัฒนาโรงเรียนบ้านหนองระกำ” ขึ้น โดยมีกิจกรรมฐานให้ความรู้แก่น้องๆ นักเรียน เช่น ความปลอดภัย การคัดแยกขยะ สุขอนามัย และการประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้, สร้างพื้นที่เรียนรู้นอกห้องเรียน หรือการวาดภาพ BBL, การพัฒนาห้องสมุดและมอบชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ห้องพยาบาล, การมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนอุปกรณ์กีฬา และอื่นๆ, กิจกรรมสันทนาการร่วมกับน้องๆ อนุบาล, กิจกรรมปลูกสวนครัวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารกลางวันโรงเรียนกิจกรรมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาโรงเรียนและส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้กับน้องๆ นักเรียน โรงเรียนบ้านองระกำ ต.พนานิคม อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการทำกิจกรรมอันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมร่วมกันโดยมีสถานประกอบการกว่า 19 บริษัท พนักงานจิตอาสากว่า 150 คน ร่วมกันทำกิจกรรมในครั้งนี้
อ่านเพิ่มเติมประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากในเรซูเม่ ในการสมัครงานในระดับซีเนียร์ขึ้นไป เพราะเป็นสิ่งที่บอกว่าคุณมีความสามารถในการจัดการงานและปัญหาต่างๆในสายงานนั้นอย่างไร ซึ่งการเขียนประสบการณ์ทำงานที่ดีนั้นสามารถทำให้คุณมีโอกาสได้งานที่ตรงกับคุณได้สูงขึ้น และในบางครั้งประสบการณ์ทำงานที่ดีจะทำให้คุณได้เงินเดือนที่สูงขึ้นอีกด้วย1. เลือกเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่าที่สุด ในสายงานนั้นๆในขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือ เมื่อคุณคิดว่าคุณมีประสบการณ์ทำงานมากพอที่จะเขียนลงไปในเรซูเม่ของตัวเองแล้วล่ะก็ ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะเขียนลงไปมันมีค่าในสายตาของผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งก็คือพนักงานสรรหาบุคลากร และผู้ที่จะสัมภาษณ์งานคุณ ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะเป็น Supervisor หรือผู้จัดการ หรือหัวหน้าในสายงานของคุณนั่นเอง อย่าเขียนประสบการณ์ดาดๆที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ แต่ให้เลือกเขียนเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่ามากๆก็พอ2. เน้นประสบการณ์ที่ได้รับการยกย่อง หรือรางวัล (Achievement)ถ้าหากคุณได้รับรางวัลอะไรในสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือผลงานของทีม ไม่ว่ารางวัลนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน นี่แหล่ะคือสิ่งที่มีค่ามากๆที่ควรจะเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่ถ้าคุณมีรางวัลมากล่ะก็ เลือกเขียนอันที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วเรียงลำดับลงมาตามความสำคัญนะครับ3. ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเคส หรือลูกค้าที่โด่งดังในสายงานของคุณในทุกๆสายงานย่อมจะรู้จักกันเองข้ามบริษัท ไม่มากก็น้อย ดั่งคำพูดที่ว่า "วงการมันแคบกว่าที่คิด" ซึ่งสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวงการเลยล่ะ ถ้าคุณมีประสบการณ์เคยทำงานในเคสที่ใหญ่ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าที่ใครๆก็บอกว่าเป็นตัวแม่ของวงการแล้ว หรือมีแต่รายชื่อลูกค้าดังๆแล้วล่ะก็ คุณเองก็จะเนื้อหอมเอามากๆเลย ใครๆก็สนใจอยากจะสัมภาษณ์คุณ4. ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเด่น? ลองเขียนสิ่งที่ทำผ่านมาตรฐานดูสิครับในบางสายงาน อย่างเช่น งานวิศวกร ที่คุณไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่คุณเป็นฟันเฟืองของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ คุณสามารถเขียนสิ่งที่คุณทำแล้วผ่านมาตรฐานต่างๆดูสิครับ สิ่งนี้เองก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้าสายงานอื่นๆเลยครับ มาตรฐานนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่มาตรฐานระดับโลกอย่าง ISO ลงมาจนถึงมาตรฐานของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ได้เลย ขอเพียงเขียนชื่อมาตรฐานให้ถูก อย่าสะกดผิด หรืออย่าเขียนลอยๆว่า "มาตรฐาน" เฉยๆโดยที่ไม่ได้ใส่ชื่อให้มันก็พอ5. เขียนประสบการณ์ทำงานเรียงเป็นลำดับ เอาล่าสุดขึ้นก่อนประสบการณ์ทำงานในเรซูเม่เป็นแบบ เรียงตามเวลา โดยเอาอันล่าสุดขึ้นก่อน ส่วนของเก่าก็อยู่ล่างๆ เรียงกับอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์แฝงอยู่หลายข้อด้วยกัน นอกจากเพื่อที่จะให้อ่านง่ายแล้ว ผู้ที่อ่านเรซูเม่ของคุณยังมองว่าคุณมีความสามารถในการจัดระเบียบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย6. เน้นคีย์เวิร์ด (คำค้น) ให้ชัดเจนเมื่อคุณเขียนเรซูเม่ของตัวเองและนำไปใช้ต่อ จะส่งให้ HR โดยตรง หรืออัพโหลดขึ้นเว็บไซท์สมัครงานต่างๆ คุณจะต้องคำนึงด้วยว่าพนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากร จะค้นหาเจอเรซูเม่ของคุณได้อย่างไร ในกองเรซูเม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครเขาหยิบเรซูเม่มากองละหมื่นใบ แล้วมาอ่านกัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบดิจิทัลกันแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาคำต่างๆที่ต้องการได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือทำให้เรซูเม่ของตัวเอง สามารถค้นหาได้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือแปลงเป็น PDF เท่านั้น ถ้าหากคุณส่งเป็นกระดาษ หรือทำเป็นรูปไปล่ะก็มันจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์คไม่ได้ คุณก็จะเสียเปรียบตรงนี้ไปอย่างมหาศาลเลยล่ะถ้าต้องกรอกข้อมูลใหม่ ก็กรอกให้ครบ อย่าให้ขาด คนส่วนมากมักจะคิดว่าก็ส่งเรซูเม่ให้แล้ว ทำไมไม่อ่าน ทำไมยังต้องกรอกอีก ที่กรอกทั้งหมดนี้สามารถใช้ค้นหาได้อย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ ถ้าคุณปล่อยว่างๆแล้วล่ะก็ เสียดายนะครับสะกดให้ถูก ใช้คำให้ถูก บางคำมีชื่อภาษาอังกฤษ ก็ใส่ไปเลยทั้งอังกฤษ ทั้งไทย เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะถูกค้นหาเจอเช่นถ้าคุณเป็นนักบัญชี และคุณเคยทำงานด้านตรวจบัญชีมาก่อน ก็ให้ว่า Audit หรือ Auditor ในภาษาอังกฤษ แล้วถ้าใส่คำภาษาไทยว่า "นักตรวจสอบบัญชี" ด้วยแล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหามากขึ้นไปอีกครับ7. เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ลองเขียนเรื่องการฝึกงานดูสิถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานแล้วล่ะก็ ให้เขียนประสบการณ์ที่ได้รับตอนฝึกงานลงไปแทน หรือถ้าตอนเรียนคุณได้ทำงาน เฉพาะที่เกี่ยวข้องสายงานนะครับ ก็สามารถเขียนลงไปได้ เช่นถ้าคุณเรียนจบด้านสถาปนิกมา และต้องการสมัครงานสถาปนิก โดยที่ตอนเรียนอยู่เคยทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัทออกแบบโครงสร้างอาคารแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นพนักงานเดินเอกสาร ก็ใส่มันลงไปเถอะครับที่สำคัญก็คือ อย่าใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เพื่อแค่ให้เรซูเม่ดูเต็มๆ หรือมีอะไรเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้พนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากรมองว่า คุณยังไม่ได้สนใจในสายงานนั้นๆขนาดนั้น แล้วก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเด็กจบใหม่อีกคนที่เขียนประสบการณ์ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า8. ข้อมูลที่ดี มีการจัดระเบียบที่ดี มีค่ามากกว่าเรซูเม่สวยๆหลายๆคนก็คงจะเคย โหลดธีมเรซูเม่สวยๆ มาใช้บ้าง ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องจริงที่ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ แต่สวยแล้ว จะต้องมีข้อมูลที่ดี และการจัดระเบียบข้อมูลให้อ่านง่ายสบายตา ถือว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีกว่าสวยอย่างเดียวมากหลายสิบเท่าตัวเลยครับ ดังนั้นจัดระเบียบข้อมูลให้ดีๆนะครับที่มา : https://bestjob.in.th
อ่านเพิ่มเติมปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีการพัฒนาที่ก้าวกระโดด ทำให้หลายธุรกิจนำAI เข้ามาปรับใช้ ช่วยให้ชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานของเราสะดวกรวมเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากผลสถิติของSnapLogic ปี2021 พนักงานกว่า61% บอกว่าAI สามารถช่วยเพิ่มProductivity ให้กับการทำงานได้AIช่วยเขียนNotion – NotionAIสรุปเนื้อหาที่เขียนเอาไว้ตรวจการสะกดคำพร้อมไวยากรณ์ร่างการเขียนหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนอีเมล บล็อก บทกลอน หรือแม้แต่แคปชั่นอินสตาแกรมก็ได้Memแอปจดโน๊ตที่สามารถจัดระเบียบตัวเองได้ด้วยการใช้ AI และNatural Language Processing (NLP) สามารถเชื่อมต่อกับแอปอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นSlacks, Gmail, Google Calendar และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ลื่นไหล มีฟังก์ชันในการจัดระเบียบไอเดียและการเขียนได้คล้ายNotion ฟังก์ชันเด่นๆ ได้แก่Similar Mems, Smart Search, Smart Write และSmart EditCraftlyAI ที่จะมาช่วยงานเขียนระดับองค์กรหรือภาคธุรกิจ มีเครื่องมือหลากหลายในการสร้างเนื้อหารูปแบบต่างๆ สามารถใช้งานร่วมกันแบบเป็นทีมได้ มีวิธีการใช้งานง่ายมาก เพียงแค่เลือกรูปแบบที่ต้องการ เช่น ร่างอีเมล เขียนบทความ จากนั้นเลือกรายละเอียดที่เราต้องการ เช่น กลุ่มผู้อ่าน เสร็จแล้วCraftly ก็จะสร้างเนื้อหาให้เราแบบอัตโนมัติและเข้ากับธีมเนื้อหาที่เราต้องการJasperเป็นผู้ช่วยในเรื่องของการสร้างเนื้อหาการเขียนต่างๆ เช่น เขียนโฆษณา อีเมล บทความ และอื่นๆ โดยสามารถใช้เป็นextension ของบราวเซอร์ได้ ทำให้เราสามารถใช้Jasper ได้บนทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย อีเมลหรือเว็บไซต์ ล่าสุดมีฟังก์ชันเพิ่มเติมสำหรับการใช้งานภาคธุรกิจ (Jasper for Business) โดยใช้Generative AI ในการช่วยสร้างแบรนด์และสามารถทำงานร่วมกันกับคนในทีมได้AIช่วยจดโน้ต สรุปประชุมMeetGeekเป็นผู้ช่วยในเรื่องของการประชุมในแอปพลิเคชันชื่อดังต่างๆ อย่างZoom Google Meets และMicrosoft Teams เพื่อช่วยจดโน๊ตพร้อมทั้งสรุปการประชุม สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้ เช่นSlacks, Google Drive และTrello พร้อมรองรับหลากหลายภาษาในการทำงาน ได้รับการไว้วางใจทีมผู้ใช้งานกว่าหมื่นทีม ฟีเจอร์การใช้งานหลักๆ มีดังนี้อัดวิดีโอการประชุมให้แบบอัตโนมัติถอดคำพูดได้แบบเรียลไทม์ช่วยสรุปเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นสรุปใจความสำคัญในการประชุมสามารถตั้งค่าให้เข้าร่วมการประชุมอัตโนมัติได้Otter.aiเป็นตัวช่วยถอดเสียงการประชุม การบรรยาย หรือบทสัมภาษณ์ได้แบบเรียลไทม์ หรือจะนำเข้าไฟล์เสียง ไฟล์วิดิโอ แล้วให้โปรแกรมช่วยถอดออกมาเป็นสคริปต์ก็ได้ และช่วยระบุด้วยว่า นาทีไหน ตอนไหน ใครเป็นคนพูด นายA หรือB นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์Custom Vocabulary ก็คือการตั้งค่าภาษา หรือ คำศัพท์เฉพาะที่เราใช้กันในอุตสาหกรรม ป้องกันOtter จะถอดเสียงผิดพลาด หลังจากถอดเสียงได้แล้ว ตัวOtter ยังช่วยสรุปประเด็นการประชุมได้ด้วยAIช่วยสร้างรูปภาพจากข้อความที่เราป้อน (text-to-image)DALL-Eเป็นAI ที่สามารถสร้างรูปภาพได้จากคำสั่งที่เราป้อนเข้าไป สร้างโดยOpenAI เจ้าของเดียวกับChatGPT สามารถปรับแต่งรูปแบบของรูปภาพได้ตามที่เราต้องการแถมยังอัปโหลดรูปเพื่อให้ AI ช่วยปรับเพิ่มเติมได้Stable DiffusionAI สร้างรูปภาพจากบริษัทสตาร์ทอัพStability AI ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้DALL-E ของOpenAI เป็นโปรเจคแบบopen-source สามารถใช้งานได้ฟรีแบบไม่ต้องลอคอินหรือสมัครสมาชิกใดๆ และมีprompt database เป็นฐานข้อมูลให้เราได้ศึกษาการใช้งาน prompt ด้วยAIช่วยสร้างเสียงและวิดีโอ (Media Creator)Murfเปลี่ยนตัวอักษรให้เป็นเสียงคนโดยการใช้ AI เพื่อพากย์เสียงให้เรา มีตัวเลือกในการปรับแต่งเสียงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพากย์เสียงสำหรับ ธุรกิจ เกม การนำเสนอ พอตแคสต์ และอื่นๆ รวมถึงเพศและอายุของเสียงที่เราต้องการด้วย โดยเป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากเสียงจริงๆSupercreatorแอปพลิเคชั่นที่ใช้AI มาช่วยเราสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอสั้นๆ อย่าง Reels หรือTikTok โดยให้AI เขียนสคริปต์ในเรื่องนี่เราสนใจ พร้อมสร้างวิดีโอพื้นหลัง แคปชั่น ซับไตเติล แฮชแทก และตัดต่อให้เราอัตโนมัติSupercreator เคลมว่าสามารถช่วยให้เราสร้างคอนเทน์ได้เร็วขึ้น 10 เท่าเลยทีเดียว แต่ตอนนี้การใช้งานจำเป็นต้องสมัครเพื่อรอEarly Access ก่อนAI Searchค้นหาอะไรก็เจอ ถามอะไรก็ตอบได้ Microsoft Edge + BingNew Microsoft Edge experience ได้อัปเดตเบราว์เซอร์Edge ด้วยความสามารถ AI ใหม่และรูปลักษณ์ใหม่ และได้เพิ่มฟังก์ชันใหม่สองฟังก์ชัน: แชทและเขียน ด้วยEdge Sidebar ยกตัวอย่างเช่น สามารถขอสรุปรายงานทางการเงินแบบยาวเพื่อรับข้อมูลสำคัญ จากนั้นใช้ฟังก์ชันแชทเพื่อขอข้อมูลเปรียบเทียบกับข้อมูลทางการเงินของบริษัทคู่แข่งและบันทึกข้อมูลในเอกสารโดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถขอให้Edge ช่วยเขียนเนื้อหา เช่น โพสต์บนLinkedIn หลังจากนั้น สามารถขอให้ช่วยอัปเดตโทน รูปแบบ และความยาวของโพสต์ได้ ซึ่งEdge สามารถเข้าใจหน้าเว็บที่เปิดอยู่และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้Brave + Brave SearchBrave ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีAI บนBrowser และSearch Engine ของตัวเอง “Brave Summarizer” โดยทำหน้าที่สรุปใจความสำคัญของสิ่งที่เราค้นหาผ่านการใช้ Large Language Model (LLMs) ที่ทางBrave เทรนขึ้นมาเอง ทำให้สามารถประมวลผลคำตอบออกมาได้อย่างแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น รวมไปถึงภาษาที่ออกมาจะมีความอ่านรู้เรื่องมากขึ้นด้วย พร้อมแนบลิ้งค์แหล่งที่มาของข้อมูลคล้ายกับEdge หรือBing เพิ่มความน่าเชื่อถือและตรวจสอบได้ของข้อมูลBrave Summarizer ถูกพัฒนาและออกแบบโดยทีม Brave Search และจุดเด่นที่มีไม่เหมือนMicrosoft Edge คือการที่Brave ไม่ได้ใช้ChatGPT หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องใดๆ แต่ใช้LLMs ถึง3 ตัวในการเทรนข้อมูลที่แตกต่างกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นAIช่วยแปลภาษา (Translator)DeepLเป็นสตาร์ทอัปที่เปิดตัวในปี2017ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของGoogle Translateเนื่องจากมีหลายเสียงจากผู้ใช้งานกล่าวว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในเรื่องของการแปลภาษา ที่ผ่านการเทรนข้อมูลแปลภาษานับล้าน ที่ใช้AIต่างจากคู่แข่งโดยใช้Convolutional Neural Networks (CNNs)ที่ทำให้การแปลมีความแม่นยำและตรงมากกว่า ข้อจำกัดที่มีคือยังไม่รองรับภาษาได้เยอะเท่ากับGoogle TranslatememoQ translator proเป็นโปรแกรมช่วยแปลซึ่งทำงานบนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ที่พิเศษคือมันได้รับการออกแบบโดยนักแปล เพื่อนักแปลโดยเฉพาะ รองรับมากกว่า100 ภาษา รวมถึงภาษาไทย (แต่ยังไม่สามารถใช้ภาษาไทยเป็นภาษาต้นทางได้) และมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยทำงานแปลขั้นสูง ตัวอย่างเช่นใช้คำแปลก่อนหน้าซ้ำ ไม่ต้องแปลคำเดิมซ้ำสอง ช่วยลดเวลาการทำงานสร้างอภิธานศัพท์ (ศัพท์เฉพาะศาสตร์)พร้อมบันทึกคำแปลเพิ่มเอกสารอ้างอิงแม่นยำด้วยการรักษาการแปลตามบริบท แนะนำทิศทางภาษาที่ถูกต้องที่มา: 14 เครื่องมือ AI ที่ชาวออฟฟิศต้องมี ช่วยให้ทำงานง่ายสบายกว่าเดิม | Techsauce
อ่านเพิ่มเติมการสมัครงานเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเอกสารหลากหลายรูปแบบ เพื่อใช้ในการแนะนำตัวผู้สมัครต่อฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) สำหรับพิจารณาคัดเลือก เอกสารหลักที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่Resume, CV (Curriculum Vitae) และPortfolio ซึ่งเอกสารแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในด้านการนำเสนอและจุดประสงค์ในการใช้งาน บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างของเอกสารเหล่านี้ พร้อมทั้งนำเสนอเทคนิคในการสร้างสรรค์เอกสารให้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ เพื่อให้เป็นที่ดึงดูดของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR)Resume คืออะไร?Resume เป็นเอกสารแนะนำตัวที่มีเนื้อหาย่อและกระชับ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ อาทิ ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้อง จุดเด่นของResume คือการนำเสนอข้อมูลที่สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่สมัครโดยตรง ทำให้สามารถปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละงานได้อย่างยืดหยุ่นจุดมุ่งหมาย: การโปรโมตตัวผู้สมัครให้บริษัทรับทราบถึงเหตุผลที่คุณเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้น ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญResume ที่ดีควรมีความยาวไม่เกิน 1-2 หน้ากระดาษ เพื่อคงความกระชับของเนื้อหา และให้ข้อมูลที่จำเป็นอย่างครบถ้วน โดยไม่เยิ่นเย้อรูปแบบ: มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม หรือแก้ไขข้อมูลต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา เพื่อให้รายละเอียดสอดคล้องกับตำแหน่งที่ต้องการสมัครงานอย่างเหมาะสมเคล็ดลับ:เน้นใส่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครออกแบบให้สวยงามและทันสมัยเพื่อให้โดดเด่นใช้ภาษาที่กระชับและตรงประเด็นตรวจทานการสะกดคำและไวยากรณ์ให้ถูกต้องCV คืออะไร?CV (Curriculum Vitae) เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดและเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน ประสบการณ์ ทักษะ และคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมและการอบรมที่เคยเข้าร่วม โดยทั่วไปCV นิยมใช้ในภูมิภาคยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ซึ่งมักมีความยาวตั้งแต่2 หน้ากระดาษขึ้นไปจุดมุ่งหมาย: ช่วยให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ของบริษัทต่าง ๆ ได้รับข้อมูลภาพรวมทั้งหมดของผู้สมัครอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงานรูปแบบ: ค่อนข้างแน่นอนและตายตัว แบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน โดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบดังนี้ข้อมูลส่วนตัว (ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล)ประวัติการศึกษา (ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาถึงระดับสูงสุด)ประสบการณ์การทำงาน (รายละเอียดตำแหน่งงาน ชื่อบริษัท ระยะเวลาที่ทำงาน)ทักษะและคุณสมบัติ (ทักษะทางภาษา, คอมพิวเตอร์, และทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)กิจกรรมและการอบรม (การเข้าร่วมกิจกรรม, การอบรม, คอร์สพิเศษ)เคล็ดลับ:ใส่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องและสำคัญให้ครบถ้วนใช้ภาษาที่เป็นทางการและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบและอ่านง่ายPortfolio คืออะไร?Portfolio คือแฟ้มผลงานที่รวบรวมผลงานตลอดช่วงชีวิตการทำงานหรือการศึกษา โดยใช้แสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร การจัดทำPortfolio ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล เช่นPDF หรือJPG ช่วยเพิ่มความสะดวกในการส่งผ่านทางอีเมลหรือการนำเสนอในรูปแบบออนไลน์จุดมุ่งหมาย: แสดงหลักฐานการทำงานและผลงานที่สอดคล้องกับลักษณะงานที่สมัคร ช่วยให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) สามารถมองเห็นภาพรวมของความสามารถและผลงานของผู้สมัครได้อย่างชัดเจนรูปแบบ: การรวบรวมผลงานที่ผ่านมาของคุณสามารถทำได้อย่างไม่จำกัดจำนวนหน้า ยิ่งมีผลงานที่รวบรวมไว้อย่างครอบคลุม ยิ่งเป็นประโยชน์ในการแสดงความสามารถ รูปแบบของPortfolio สามารถจัดทำเป็นเอกสารที่พิมพ์ออกมา หรือในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล เช่นPDF หรือJPG เพื่อความสะดวกในการนำเสนอเคล็ดลับ:คัดเลือกผลงานที่โดดเด่นและแสดงถึงทักษะของคุณโดยตรงออกแบบPortfolio ให้ดูสวยงามและน่าสนใจจัดทำเป็นไฟล์ดิจิทัลที่สามารถเปิดได้ง่ายและสะดวกเทคนิคการสร้างResume, CV และPortfolio ให้โดนใจHRคัดเลือกผลงานชิ้นเด่นสำหรับ Portfolio: เลือกผลงานที่มีความโดดเด่นและแสดงถึงทักษะความสามารถของคุณอย่างชัดเจนออกแบบดีไซน์ให้ทันสมัยและสวยงาม: การจัดทำเอกสารให้มีรูปแบบที่สวยงามและอ่านง่ายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับจัดทำไฟล์ที่เข้าถึงได้ง่าย: ควรใช้ไฟล์ที่สะดวกในการเปิดและเข้าถึง โดยไม่ควรมีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไปใช้ภาษาที่ถูกต้องและตรวจสอบคำผิด: ใช้ภาษาที่เป็นทางการ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และตรวจสอบความถูกต้องของการสะกดคำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดสรุปความแตกต่างของResume, CV และPortfolioResume: เอกสารที่เน้นความกระชับ เหมาะสำหรับการสมัครงานทั่วไป มักใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาCV: เอกสารที่เน้นข้อมูลเชิงลึกและรายละเอียด เหมาะสำหรับการสมัครงานที่ต้องการข้อมูลในเชิงลึก มักใช้ในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลางPortfolio: เอกสารที่แสดงผลงานที่ผ่านมาของคุณอย่างละเอียด เหมาะสำหรับการสมัครงานที่ต้องการแสดงผลงานและความสามารถเฉพาะทางที่มา: www.phuket108.com
อ่านเพิ่มเติม10 เมกะเทรนด์เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกจนถึงปี 2025 ประกอบด้วยการใช้งานเทคโนโลยีAI, 5G, หุ่นยนต์ในบ้าน (Smart Home) และผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ (Smart Assistant) ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกคาดการณ์จากรายงานวิสัยทัศน์อุตสาหกรรมทั่วโลก (GIV)1. ใช้ชีวิตกับหุ่นยนต์ (Living with Bots)ความก้าวหน้าด้านวัสดุศาสตร์และการเรียนรู้ของ AI จะช่วยส่งเสริมการใช้งานหุ่นยนต์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ผู้ช่วยในบ้านหรือผู้ช่วยส่วนตัว ทั้งนี้ รายงานGIV คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 การใช้งานหุ่นยนต์ตามบ้านทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง14% โดยสามารถแบ่งออกเป็น4 ประเภทหลักNursing Bot จะมาช่วยในเรื่องของสังคมผู้สูงอายุ การดูแลรักษาผู้ป่วยไข้Companion Bot เป็นเพื่อนด้านบันเทิง อยู่เป็นเพื่อนเด็ก ช่วยเลี้ยงลูกButler Bot พวกหุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่น หุ่นยนต์ล้างจาน หุ่นยนต์ทำอาหาร หุ่นยนต์ประเภทนี้เริ่มนำมาใช้แล้วBionic Bot หุ่นยนต์ที่จะเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา เช่น แว่นตาอัจฉริยะ หรืออาจจะเป็นสิ่งที่สวมไปกับขาของเราเพื่อช่วยในเรื่องกระดูก2. ซูเปอร์ไซต์ (Super Sight)การผนวกรวมของเทคโนโลยี 5G, VR/AR, Machine Learning และนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของระยะทาง นำไปสู่การเปิดมุมมองใหม่ในการมองเห็นโลกทั้งในแง่ของบุคคล ธุรกิจ และวัฒนธรรม รายงานGIV คาดการณ์ว่าบริษัทที่นำเทคโนโลยีAR/VR มาใช้งานจะเพิ่มขึ้นถึง10% ตัวอย่างเช่น การนำโดรนมาตรวจสอบถนนที่ชำรุด การใช้หุ่นยนต์สำรวจท่อใต้ดิน หรือการนำเทคโนโลยีVR/AR มาช่วยสร้างผลงานศิลปะที่สูญหายไป อย่างในกรณีพิพิธภัณฑ์บราซิลที่เกิดไฟไหม้และสูญเสียทรัพยากรทางประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีเหล่านี้อาจเรียกว่า'Beyond History' ซึ่งช่วยฟื้นคืนผลงานศิลปะที่สูญหาย3. ซีโรเสิร์ช (Zero Search)เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเซนเซอร์จะเริ่มมีความสามารถในการคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้งานโดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งล่วงหน้า การค้นหาในอนาคตจะไม่ต้องใช้ปุ่มกด เพราะระบบจะทำงานแบบPersonalize Information เช่น เมื่อผงซักฟอกหรือยาสีฟันหมด เครื่องใช้ไฟฟ้าจะเชื่อมต่อกับระบบและสั่งซื้อสินค้าให้อัตโนมัติ โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าล่วงหน้าไว้ได้โดยไม่ต้องกดปุ่มสั่งเอง เครือข่ายสังคมส่วนบุคคลจะถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย และอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ไม่ต้องค้นหา รายงานGIV คาดการณ์ว่าเจ้าของSmart Device ถึง90% จะใช้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะภายในอนาคต4. ถนนเฉพาะ (Tailored Streets)ระบบการเดินทางอัจฉริยะจะเชื่อมโยงผู้คน ยานพาหนะ และสาธารณูปโภคเข้าด้วยกัน ทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยฟังก์ชันอื่นๆ ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น รายงานGIV คาดการณ์ว่า15% ของยานพาหนะจะติดตั้งเทคโนโลยีCellular Vehicle-to-Everything (C-V2X) ภายในอนาคต5. ทำงานกับหุ่นยนต์ (Working with Bots)ระบบSmart Automation จะเข้ามาช่วยในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง งานซ้ำๆ และงานที่มีความเสี่ยงอันตรายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการผลิต รายงานGIV คาดการณ์ว่าในอนาคต อุตสาหกรรมจะมีหุ่นยนต์จำนวน103 ตัวต่อพนักงานทุกๆ10,000 คน6. ความคิดสร้างสรรค์แต่งเสริม (Augmented Creativity)AI Cloud จะช่วยลดต้นทุนและอุปสรรคในการเข้าถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และศิลปะ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสแห่งความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น รายงานGIV คาดการณ์ว่า97% ขององค์กรขนาดใหญ่จะนำ AI มาใช้งาน ในขณะที่ความคิดสร้างสรรค์มักเกิดจากมนุษย์AI สามารถช่วยเสริมแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า'AI-Inspired Creativity' โดยAI จะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การแต่งเพลงหรือการเขียนหนังสือ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยอาศัยคลังข้อมูลอันกว้างขวาง7. การสื่อสารแบบต่อเนื่อง (Frictionless Communication)การสื่อสารระหว่างบริษัทและลูกค้าจะเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งทลายกำแพงทางภาษา ทำให้ความเข้าใจและความเชื่อใจกลายเป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารในอนาคต รายงานGIV คาดการณ์ว่า86% ขององค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data) อย่างเต็มประสิทธิภาพ8. เศรษฐกิจการอยู่ร่วมกัน (Symbiotic Economy)บริษัททั่วโลกกำลังนำเทคโนโลยีดิจิทัลและแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มมาใช้เพื่อสร้างการเข้าถึงที่สอดคล้องกัน ซึ่งจะส่งเสริมความร่วมมือครั้งใหญ่และการแบ่งปันทรัพยากร สร้างEcosystem ระดับโลกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รายงานGIV คาดการณ์ว่าในอนาคต ทุกบริษัทจะใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และ85% ของแอปพลิเคชันทางธุรกิจจะถูกใช้งานบนคลาวด์9. การติดตั้งใช้งาน5G อย่างรวดเร็ว5G ได้เริ่มเข้ามาใช้งานอย่างรวดเร็วกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้านี้ รายงานGIV คาดการณ์ว่า58% ของประชากรทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 5G ได้10. การกำกับดูแลด้านดิจิทัลทั่วโลก (Global Digital Governances)ความยั่งยืน การจัดการข้อมูลร่วมกัน และหลักการใช้งานข้อมูลจะกลายเป็นประเด็นสำคัญ รายงานGIVคาดการณ์ว่าปริมาณข้อมูลทั่วโลกในปีหนึ่งจะสูงถึง 180ZB (1ZBเท่ากับ 1 ล้านล้านกิกะไบต์ที่มา: THE STANDARD
อ่านเพิ่มเติมการทำงานในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งด้านธุรกิจและด้านการแข่งขันในตัวของบุคลากรเอง ทำให้ตัวเรานั้นจําเป็นต้องปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การพัฒนาด้านความรู้และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคอย่างเดียวคงไม่พอ จําเป็นต้องมีทักษะSoft Skill ที่เป็นทักษะเสริมให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทั้งการแข่งขันในตลาดแรงงานหรือการแข่งขันของธุรกิจ ตัวเราที่เป็นพนักงานควรที่จะมีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความอดทน รวมถึงต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา ทักษะเหล่านี้ ที่เรียกว่าSoft Skills เป็นเหมือนเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถปรับตัวจากสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการแก้ไขปัญหา และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำให้เราเป็นคนที่โดดเด่น มีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นในการทำงาน รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย1.Problem Solving Skills: ทักษะการแก้ปัญหาการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหายังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานอยู่เสมอ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อน ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ และทำความเข้าใจปัญหาแบบเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้เห็นภาพรวมปัญหาทั้งหมดการระบุปัญหาเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อน โดยระบุขอบเขตของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ต้องทำความเข้าใจปัญหาแบบเป็นขั้นตอนและใช้เทคนิคการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดขึ้น กระบวนการแก้ปัญหา สามารถทําได้โดย1.การเก็บและจัดระเบียบข้อมูลรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยการเก็บข้อมูลให้ครบถ้วน และตรงกับวัตถุประสงค์ รวมถึงจัดลำดับและแบ่งกลุ่มข้อมูลให้เป็นระเบียบ เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นมีระเบียบและเข้าใจง่าย ทำให้ระบุแนวทางที่ส่งผลต่อปัญหาได้ง่าย2.การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่นPower BI, Google Analytics เพื่อคัดกรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมาวิเคราะห์และตรวจสอบ เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสร้างการนำเสนอข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจปัญหาได้ดี การแก้ไขปัญหาจะแก้ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นCreative Thinkingช่วยเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหา ผ่านการสร้างไอเดียที่แปลกใหม่ ไม่จำเจและมองเห็นมุมมองที่แตกต่างออกไปการใช้เทคนิคที่เชื่อมโยงปัญหา1.Design Thinking การใช้กระบวนการDesign Thinking จะทำให้เราเห็นวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา มองภาพรวมปัญหากว้างขึ้น และช่วยให้คิดอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น2.SWOT Analysis การทำการวิเคราะห์SWOT หาจุดแข็ง จุดเด่น จุดด้อยขององค์กร สําหรับ SWOT Analysis เราจะใช้การหลักการวิเคราะห์โดยSWOT เมื่อต้องการวิเคราห์มุมของธุรกิจเพื่อวางแผนสําหรับทําการตลาดต่อไปในอนาคตการทํางานกันเป็นทีม มีส่วนช่วยลดทอนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ความร่วมมือกันภายในทีมจะช่วยให้สามารถหาทางออกจากสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ในทีมที่มีความรู้และทักษะที่หลากหลาย ก็จะยิ่งสามารถนำเสนอและปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ การเข้าใจความต้องการของกันและกันจึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความสำเร็จในทีมและองค์กร2.Personal Management Skills: ทักษะการจัดการส่วนบุคคลทักษะการจัดการส่วนบุคคลเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจาก เป็นการจัดการทั้งด้านการทำงาน สุขภาพ และชีวิตประจำวัน หากทำทุกอย่างให้สอดคล้องกัน ก็จะยิ่งทำให้การทำงานได้ราบรื่นไม่เกิดปัญหา สุขภาพกายและสุขภาพจิตมีความสมดุล ส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันดีขึ้นด้วยการวางแผนและจัดการเวลา (Time Management)1.การตั้งเป้าหมาย กำหนดเป้าหมาย โดยระบุรายละเอียดและกำหนดเวลาให้ชัดเจน2.การวางแผนรายละเอียด ระบุขั้นตอนการดำเนินการ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดและทรัพยากรที่องค์กรมี เริ่มจากการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย วางแผนการตลาด ตรวจสอบเพื่อปรับปรุง และวัดผลเพื่อประเมินผลงาน3.การจัดการเวลา ใช้เทคนิคการจัดการเวลา เช่น การแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัว การจัดลำดับความสำคัญของงาน เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานและอยู่ในเวลาที่กำหนดProject Managementเป็นกระบวนการที่เน้นการวางแผนและควบคุมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้โครงการดำเนินไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีการจัดทำแผน การกำหนดสิ่งที่ต้องทำ การจัดทำทีม และการติดตามความคืบหน้า เพื่อให้โครงการสำเร็จในเวลาที่กำหนดการสร้างความสัมพันธ์ (Agile)เป็นกระบวนการสร้างผลงานในรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้าหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว ซึ่งลักษณะการทํางานแบบAgile ประกอบด้วย1.ความFlexibility หรือความยืดหยุ่นการเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานของตนเองและการทำงานร่วมกับทีม รับฟังความคิดเห็น และปรับตัวต่อสภาพการทำงานที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต2.Customer Focus การให้ความสำคัญและการเข้าใจความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไร รวมถึงการให้บริการที่ดีที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า การแก้ไขปัญหา และการให้คำแนะนำการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นกระบวนการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้จำกัดเพียงการเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในทุกวันของชีวิต ทั้งจากประสบการณ์การทำงาน การปฏิบัติ การอ่าน การฟัง และการสื่อสารกับผู้อื่นการบริหารจัดการความเครียดเรียนรู้วิธีการตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ทำงาน วางแผนและเตรียมตัวเพื่อลดความกดดันที่เกิดขึ้น และเรียนรู้ทักษะที่ช่วยในการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดลำดับความสำคัญ การพักผ่อน หรือหากิจกรรมต่างๆ ทำบ้าง3. Digital Skills: ทักษะดิจิทัลทักษะนี้เริ่มถูกให้ความสำคัญเมื่อทุกอย่างเข้ามาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล การเรียนรู้และพัฒนาทักษะดิจิทัลนี้จะช่วยให้คุณปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้การใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่กำลังนิยม หรือสิ่งที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจ การใช้เครื่องมือและเทคนิค เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แบ่งเป็น2 ทักษะได้แก่Digital Literacyทักษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการทำงาน ได้แก่ การใช้งานโปรแกรมต่างๆ เครื่องมือการสื่อสาร และเทคโนโลยีอื่นที่จำเป็น รวมถึงความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี เช่น การอัพเดทซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันทุกครั้งที่มีการเผยแพร่การปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาความปลอดภัย หรือการปิดการใช้งานซอฟต์แวร์หรือระบบที่ไม่ได้ใช้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการแฮกข้อมูลData Literacyความสามารถในการเข้าใจข้อมูล เช่น เข้าใจถึงความสำคัญของข้อมูลการขายในการวิเคราะห์ผลการโปรโมท การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์และการตรวจสอบข้อมูลในแหล่งที่มา และการรู้จักกับประเภทของข้อมูลต่างๆ ที่มี เช่น ข้อมูลยอดขาย ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลตลาด และนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการนำเสนอข้อมูลให้กับผู้อื่นในทีมหรือองค์กรแล้วมีวิธีใดบ้างที่เราจะเพิ่มทักษะDigital เหล่านี้ได้1.ทำโปรเจกต์ของตัวเอง จัดทำโปรเจกต์การจัดการ เรื่องงาน การพัฒนาทักษะส่วนตัว การจัดการความรัก ความสัมพันธ์ทั้งเพื่อนและครอบครัว หรือ การทำTime Management การสื่อสารกับผู้อื่น การตั้งเป้าหมาย วางแผน และเลือกทักษะที่ต้องการพัฒนา จากนั้นก็ทำการทดลองและรอดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเพื่อปรับปรุงส่วนที่ยังต้องการการพัฒนา2.อ่านและศึกษาจากแหล่งอื่นๆ จากการอ่านหนังสือ บทความจากเว็บไซต์ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือ Community บนโลกออนไลน์ เพื่อเพิ่มความรู้และทักษะที่ต้องการ เช่นที่มา: STEPS Academy
อ่านเพิ่มเติมทีมงาน CSR อมตะ “จัดคาราวานอมตะสร้างรอยยิ้ม” นำหน่วยงานพันธมิตรออกบูธให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการลดค่าครองชีพในครัวเรือน ณ อบต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีโดยบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ฟรี กว่า 100 คัน, บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า, บริการอาหารกลางวัน, บริการตัดผมชาย-หญิง, บูธเกมสันทนาการเกี่ยวกับสัญญาณจราจรที่น่ารู้นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรร่วมมอบความสุขสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง บริการเครื่องดื่มเกล็ดหิมะ, บริษัท คิว-คอน อีสเทอร์น จำกัดร่วมออกบูธกิจกรรมเกมสันทนาการ, การประปา บ่อวิน และดูโฮมบ่อวิน มาร่วมออกบูธกิจกรรมเกมสันทนาการโดยทุกกิจกรรม ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สร้างรอยยิ้ม และความสุขให้แก่ชุมชนที่เข้ามาใช้บริการมากกว่า 300 คน
อ่านเพิ่มเติมวันเวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีก็พัฒนาแบบไม่หยุดยั้ง ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นอันมาก แต่ทว่าในกระบวนการทำงานจะใช้แต่เทคโนโลยีเป็นกลไกหลักอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันกับมนุษย์ด้วยถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ยังต้องอาศัยมนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ดังที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) เปิดเผยรายงานข่าวจากWorld Economic Forum เกี่ยวกับอาชีพด้านเทคโนโลยีที่จะสนองต่อความต้องการของตลาดในอนาคตจนถึงปี 2570 ว่ามีอาชีพที่โดดเด่นและมาแรง หากใครที่มีความถนัดหรือศึกษาเกี่ยวกับ10 อาชีพนี้มา มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอน1.ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI and Machine Learning Specialists)เน้นการออกแบบและพัฒนาAlgorithm ระบบAI ให้ระบบสามารถทำงานและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยสามารถใช้ในการประกอบอาชีพด้านต่าง ๆ เช่น การขนส่ง การผลิต การแพทย์ เป็นต้น2.ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน (Sustainability Specialists)เน้นการวางแผนในเรื่องการบริหารธุรกิจ การจัดการให้สอดคล้องกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่มองเห็นและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน3.ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Analysts)เน้นการพัฒนาระบบและเครื่องมือที่สามารถจัดการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยหน้าที่หลักคือ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และค้นคว้าความต้องการทางธุรกิจ4.นักวิเคราะห์ความปลอดภัยข้อมูล (Information Security Analysts)เน้นการดูแลความปลอดภัยของข้อมูล วิเคราะห์โครงสร้าง ออกแบบระบบที่ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลภายในได้5.วิศวกรเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech Engineers)เน้นการคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับธุรกิจและการเงิน รวมถึงการพัฒนาระบบเพื่อรองรับผู้ใช้จำนวนมาก6.นักวิเคราะห์ข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล(Data Analysts and Scientists)นักวิเคราะห์ข้อมูล เน้นการทำงานเกี่ยวกับชุดข้อมูลที่มีโครงสร้างเพื่อการแก้ปัญหาธุรกิจที่จับต้องได้โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล เน้นการจัดการกับสิ่งใหม่โดยใช้เทคนิคชั้นสูงเพื่อคาดการณ์อนาคต อาจมีการสร้างAlgorithm ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง7.วิศวกรหุ่นยนต์เน้นการดูแลระบบหุ่นยนต์ พัฒนาโปรแกรม สร้างหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม โดยเริ่มตั้งแต่ออกแบบโครงสร้างและแก้ปัญหา โดยต้องทำงานร่วมกับงานวิศวกรรมทั่วไป พร้อมควบคู่กับวิศวกรรมเชิงธุรกิจด้วย8.ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data (Big Data Specialists)เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วยปริมาณมากมายของข้อมูล ในหลายธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีคนทำหน้าที่นี้เพื่อนำข้อมูลขององค์กรมาวิเคราะห์เชิงลึก โดยการใช้ฟังก์ชันเครื่องมือต่าง ๆ และเทคโนโลยีมาใช้ประกอบกัน รวมทั้งการหาวิธีรับมือและการดูแลระบบความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล9.ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรกลการเกษตร (Agricultural Equipment Operators)ในด้านนี้จะต้องศึกษา วิเคราะห์ หรือวิจัย เพื่อวางแผนการใช้และการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือเครื่องจักรกลเกษตรที่ใช้ในการผลิตพืช ทดสอบ ปรับปรุง ดัดแปลง พัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องจักรกลเกษตรให้เหมาะสมกับการใช้งานและการผลิต10.ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล (Digital Transformation Specialists)ในด้านนี้จะต้องนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาสร้างสิ่งใหม่ และเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าให้เหมาะสมกับธุรกิจในยุคดิจิทัลเพื่อให้พร้อมกับการเติบโตและยั่งยืนในยุคดิจิทัลที่มา : www.sentangsedtee.com
อ่านเพิ่มเติม