15 พฤศจิกายน 2567

เขียนประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ลงในเรซูเม่ ให้ได้เปรียบคนอื่น

ประสบการณ์ทำงาน (Work Experience) ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากในเรซูเม่ ในการสมัครงานในระดับซีเนียร์ขึ้นไป เพราะเป็นสิ่งที่บอกว่าคุณมีความสามารถในการจัดการงานและปัญหาต่างๆในสายงานนั้นอย่างไร ซึ่งการเขียนประสบการณ์ทำงานที่ดีนั้นสามารถทำให้คุณมีโอกาสได้งานที่ตรงกับคุณได้สูงขึ้น และในบางครั้งประสบการณ์ทำงานที่ดีจะทำให้คุณได้เงินเดือนที่สูงขึ้นอีกด้วย

 

 

1. เลือกเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่าที่สุด ในสายงานนั้นๆ

ในขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือ เมื่อคุณคิดว่าคุณมีประสบการณ์ทำงานมากพอที่จะเขียนลงไปในเรซูเม่ของตัวเองแล้วล่ะก็ ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะเขียนลงไปมันมีค่าในสายตาของผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งก็คือพนักงานสรรหาบุคลากร และผู้ที่จะสัมภาษณ์งานคุณ ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะเป็น Supervisor หรือผู้จัดการ หรือหัวหน้าในสายงานของคุณนั่นเอง อย่าเขียนประสบการณ์ดาดๆที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ แต่ให้เลือกเขียนเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่ามากๆก็พอ

 

2. เน้นประสบการณ์ที่ได้รับการยกย่อง หรือรางวัล (Achievement)

ถ้าหากคุณได้รับรางวัลอะไรในสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือผลงานของทีม ไม่ว่ารางวัลนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน นี่แหล่ะคือสิ่งที่มีค่ามากๆที่ควรจะเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่ถ้าคุณมีรางวัลมากล่ะก็ เลือกเขียนอันที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วเรียงลำดับลงมาตามความสำคัญนะครับ

 

3. ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเคส หรือลูกค้าที่โด่งดังในสายงานของคุณ

ในทุกๆสายงานย่อมจะรู้จักกันเองข้ามบริษัท ไม่มากก็น้อย ดั่งคำพูดที่ว่า "วงการมันแคบกว่าที่คิด" ซึ่งสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวงการเลยล่ะ ถ้าคุณมีประสบการณ์เคยทำงานในเคสที่ใหญ่ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าที่ใครๆก็บอกว่าเป็นตัวแม่ของวงการแล้ว หรือมีแต่รายชื่อลูกค้าดังๆแล้วล่ะก็ คุณเองก็จะเนื้อหอมเอามากๆเลย ใครๆก็สนใจอยากจะสัมภาษณ์คุณ

 

4. ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเด่น? ลองเขียนสิ่งที่ทำผ่านมาตรฐานดูสิครับ

ในบางสายงาน อย่างเช่น งานวิศวกร ที่คุณไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่คุณเป็นฟันเฟืองของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ คุณสามารถเขียนสิ่งที่คุณทำแล้วผ่านมาตรฐานต่างๆดูสิครับ สิ่งนี้เองก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้าสายงานอื่นๆเลยครับ มาตรฐานนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่มาตรฐานระดับโลกอย่าง ISO ลงมาจนถึงมาตรฐานของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ได้เลย ขอเพียงเขียนชื่อมาตรฐานให้ถูก อย่าสะกดผิด หรืออย่าเขียนลอยๆว่า "มาตรฐาน" เฉยๆโดยที่ไม่ได้ใส่ชื่อให้มันก็พอ

 

5. เขียนประสบการณ์ทำงานเรียงเป็นลำดับ เอาล่าสุดขึ้นก่อน

ประสบการณ์ทำงานในเรซูเม่เป็นแบบ เรียงตามเวลา โดยเอาอันล่าสุดขึ้นก่อน ส่วนของเก่าก็อยู่ล่างๆ เรียงกับอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์แฝงอยู่หลายข้อด้วยกัน นอกจากเพื่อที่จะให้อ่านง่ายแล้ว ผู้ที่อ่านเรซูเม่ของคุณยังมองว่าคุณมีความสามารถในการจัดระเบียบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

 

6. เน้นคีย์เวิร์ด (คำค้น) ให้ชัดเจน

เมื่อคุณเขียนเรซูเม่ของตัวเองและนำไปใช้ต่อ จะส่งให้ HR โดยตรง หรืออัพโหลดขึ้นเว็บไซท์สมัครงานต่างๆ คุณจะต้องคำนึงด้วยว่าพนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากร จะค้นหาเจอเรซูเม่ของคุณได้อย่างไร ในกองเรซูเม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครเขาหยิบเรซูเม่มากองละหมื่นใบ แล้วมาอ่านกัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบดิจิทัลกันแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาคำต่างๆที่ต้องการได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ

เช่นถ้าคุณเป็นนักบัญชี และคุณเคยทำงานด้านตรวจบัญชีมาก่อน ก็ให้ว่า Audit หรือ Auditor ในภาษาอังกฤษ แล้วถ้าใส่คำภาษาไทยว่า "นักตรวจสอบบัญชี" ด้วยแล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหามากขึ้นไปอีกครับ

 

7. เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ลองเขียนเรื่องการฝึกงานดูสิ

ถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานแล้วล่ะก็ ให้เขียนประสบการณ์ที่ได้รับตอนฝึกงานลงไปแทน หรือถ้าตอนเรียนคุณได้ทำงาน เฉพาะที่เกี่ยวข้องสายงานนะครับ ก็สามารถเขียนลงไปได้ เช่นถ้าคุณเรียนจบด้านสถาปนิกมา และต้องการสมัครงานสถาปนิก โดยที่ตอนเรียนอยู่เคยทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัทออกแบบโครงสร้างอาคารแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นพนักงานเดินเอกสาร ก็ใส่มันลงไปเถอะครับ

ที่สำคัญก็คือ อย่าใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เพื่อแค่ให้เรซูเม่ดูเต็มๆ หรือมีอะไรเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้พนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากรมองว่า คุณยังไม่ได้สนใจในสายงานนั้นๆขนาดนั้น แล้วก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเด็กจบใหม่อีกคนที่เขียนประสบการณ์ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า

 

8. ข้อมูลที่ดี มีการจัดระเบียบที่ดี มีค่ามากกว่าเรซูเม่สวยๆ

หลายๆคนก็คงจะเคย โหลดธีมเรซูเม่สวยๆ มาใช้บ้าง ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องจริงที่ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ แต่สวยแล้ว จะต้องมีข้อมูลที่ดี และการจัดระเบียบข้อมูลให้อ่านง่ายสบายตา ถือว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีกว่าสวยอย่างเดียวมากหลายสิบเท่าตัวเลยครับ ดังนั้นจัดระเบียบข้อมูลให้ดีๆนะครับ

 

 

ที่มา : https://bestjob.in.th

ข่าวสารและบทความ

18 เมษายน 2566

“แค๊บหมู” ทำกินเองได้ ทำขายรายได้ดี

อมตะซิตี้ ระยอง ร่วมกับ สนง.นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง จัดกิจกรรมอบรม "การทำแค๊บหมู" ขึ้น หวังเพิ่มทักษะความรู้ด้านการประกอบอาชีพให้แก่ชุมชน และสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่รอบนิคมฯ อมตะ เพราะ "แค๊บหมู" เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการของตลาดสูงและสามารถผลิตขายได้ตลอดทั้งปี ทำให้ชุมชนมีรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจัดอบรบให้กับชุมชนในตำบลมาบยางพร ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง โดยเชิญวิทยากรจากกลุ่มชุมชนนิคมบ่อวิน จ.ชลบุรี มาช่วยถ่ายทอดความรู้           คลิปวิดีโอ “ขั้นตอนการทำแค๊บหมู” นี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ที่สนใจในการทำแค๊บหมู สามารถทำตามขั้นตอนได้อย่างง่ายดาย สามารถทำขายเป็นอาชีพหรือทำทานเล่นที่บ้านได้ด้วยเช่นกัน คลิกลิงค์เพื่อดู “ขั้นตอนการทำแค๊บหมู”

อ่านเพิ่มเติม

18 เมษายน 2566

สมัครงานยังไง ?...ให้ได้งาน พบกับ 10 เทคนิคดีๆ ที่ควรรู้ !!

Amata Jobs online เป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้ที่ต้องการหางานและนายจ้างที่ต้องการสรรหาบุคคลากรเข้าร่วมงานได้มาพบปะกันโดยตรงผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์บนเว็บไซต์ของเรา ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับทุกๆ คน ได้ประหยัดเวลา ประหยัดค่าเดินทาง และในวันนี้เราได้รวบรวม 10 เทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่ต้องการหางานโดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาที่จบใหม่และยังไม่มีประสบการณ์ในการสมัครงานหรือการสัมภาษณ์งานได้มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น มาดูกันเลยว่ามีเทคนิคดีๆ อะไรบ้าง1. ประหยัดเวลามากขึ้น เมื่อใช้เว็บไซต์ช่วยหางานในหลายๆ เว็บไซต์หางานมักจะมีตัวเลือกที่บอกว่า “Advanced Search” หรือตัวช่วยในการค้นหาขั้นสูง ที่เราสามารถใช้คำคีย์เวิร์ดในการค้นหางานที่ต้องการได้ เพียงแค่เราเลือกใส่ข้อความเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้งบริษัท ชื่อบริษัท ตำแหน่งงาน ประเภทงานที่ต้องการ ฯลฯ2. สมัครงานทุกตำแหน่ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีเราไม่ควรที่จะสมัครงานทุกตำแหน่งที่เจอ เพียงเพราะคิดว่าลองสมัครไปเถอะเผื่อได้ เราควรที่จะเลือกสมัครตำแหน่งที่เราต้องการหรือมีคุณสมบัติตรงกับที่บริษัทต้องการ ซึ่งจะมีโอกาสในการเรียกไปสมัภาษณ์มากกว่า การส่งเรซูเม่ไปแบบสุ่มๆ หรือทุกตำแหน่งงาน โดยก่อนที่เราจะลงมือการสมัครนั้นควรที่หางานและพิจารณางานนั้นให้ดีเสียก่อนว่าเรามีคุณสมบัติตรงหรือไม่ และเราอยากทำจริงๆ หรือเปล่า3. อย่าหยุดสมัครงาน ขณะที่รอผลสัมภาษณ์งานถึงแม้ว่าเราจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์มาแล้วหลายบริษัท แต่ในเมื่อผลการสมัภาณ์ยังไม่ออกมา เราก็ไม่ควรที่จะรออยู่เฉยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้งานนั้นหรือเปล่า ดังนั้นระหว่างที่กำลังรอผลอยู่นั้นเราก็สามารถที่จะสมัครงานไปได้เรื่อยๆ เพราะบางทีเราอาจจะได้งานที่ดียิ่งกว่าก็ได้4. ทำเรซูเม่ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่เลือกนอกจากที่เราจะต้องดูคุณสมบัติของงานแล้วว่าตรงกับที่เรามีหรือไม่นั้น อีกหนึ่งสำคัญก็คือการทำเรซูเม่อย่างไรให้มีความโดดเด่น มีความน่าสนใจ ดังนั้นเราควรที่จะต้องปรับแต่ง/แก้ไขเรซูเม่ให้มีความเหมาะสมกับงานที่สมัครไปด้วย5. ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ประสบการณ์ทำงานทั้งหมดบางคนอาจจะมีประวัติการทำงานที่ค่อนข้างยาวหรือผ่านงานมาแล้วหลายที่ด้วยกัน ดังนั้นเราไม่ควรที่จะใส่ไปทั้งหมด เพราะอาจจะทำให้นางจ้างหรือบริษัทที่เราไปสมัครรู้สึกว่าเราไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครอยู่ก็อาจจะเป็นไปได้ เราควรที่คัดแต่ประสบการณ์การทำงานที่สำคัญหรือตรงกับงานที่เรากำลังจะสมัครนี้6. แต่งตัวให้เหมาะสมกับงานความประทับใจแรกของการสัมภาษณ์งานก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ในเรื่องอื่นๆ เลย และส่วนประกอบหลักที่สำคัญก็คือ การแต่งกาย ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเราควรที่จะเช็คความเรียบร้อยของการแต่งกายด้วยว่าเหมาะสมกับตำแหน่งที่เราไปสมัครมาหรือเปล่า ที่สำคัญต้องแต่งออกมาแล้วดูเหมือนอาชีพด้วยนะ7. เป็นตัวของตัวเอง (เปิดเผยออกมาเลย)ในเวลาสัมภาษณ์งาน เราควรที่จะต้องเป็นตัวของตนเองให้ได้มากที่สุด เพราะว่านายจ้างเขาต้องการทราบว่าเขาจะสามารถคาดหวังอะไรได้จากเราบ้าง ดังนั้นเราควรที่จะต้องแสดงความจริงใจและเป็นต้วเอง รอยยิ้มแบบปลอมๆ และคำตอบแบบให้ผู้ฟังต้องการจ้างเรานั้นก็ควรที่จะลดลงไปบ้าง8. พูดถึงทักษะการทำงานของเราเป็นสิ่งที่ดีเมื่อนายจ้างถามคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์งานอยู่นั้น ให้เราถ่ายทอดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานที่มีออกมาให้ได้มากที่สุด รวมถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เคยเจดในการทำงานมาด้วย หรือวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เคยประสบมาด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้นายจ้างเห็นถึงวิธีการทำงานของเรา และสนใจที่จะจ้างเราในที่สุด9. อย่าพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายจ้างเดิมในความเป็นจริงข้อผิดพลาดหลักๆ ในการสัมภาษณ์งานที่พบมากที่สุดก็คือ การที่เราพูดถึงนายจ้างเดิมในแง่มุมที่ไม่ดีหรือพูดสิ่งที่ไม่ดีออกมาเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้พูดถึงข้อดีเลย และนี่ก็จะทำให้เราสัมภาษณ์งานไม่ผ่านในทันที10. การสมัครงานที่เดิมมากกว่า 1 ครั้งไม่ใช่เรื่องผิดไม่เป็นอะไรเลยที่เราจะเลือกสมัครงานในฝันของตัวเองหลายๆ ครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการตอบกลับจากบริษัทที่เราต้องการ แต่มันกลับเป็นสิ่งช่วยผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสมบัติของเราตรงตามความต้องการของนายจ้างมากยิ่งขึ้นเมื่อเรารู้เทคนิคดีๆ เหล่านี้แล้วก็อย่าลืมนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเรามากที่สุด ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ.. 😊 ขอบคุณข้อมูลดีๆ  : www.campus-star.com/

อ่านเพิ่มเติม

18 เมษายน 2566

ส่องเทรนด์อาชีพปี 66 พบ 14 อาชีพรุ่ง-5 อาชีพร่วง

เผยผลสำรวจเทรนด์อาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในปี 66 “สายไอที” มาแรง เงินเดือนสูงสุดแตะ 2 แสน ชี้ “Cyber Security” เป็นสายงานที่ทั่วโลกต้องการและยังขาดแคลน ขณะที่ “YouTuber และ Influencer” คืออาชีพทำเงินมหาศาลของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ส่วน “ขายของออนไลน์” และ "ด้านการแพทย์" ยังไปได้ดี สายงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อย่าง “แอร์โฮสเตส-สจ๊วต-นักบิน-พนักงานโรงแรม-มัคคุเทศก์” กลับมาบูมอีกครั้ง “สตาฟอีเวนต์-สตาฟคอนเสิร์ต” อยู่ในช่วงโกยเงิน ด้าน “วิศวกรพลังงานทดแทน” กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น แต่ “พนักงานธนาคาร-ครูเอกชน-สายเมตาเวิร์ส” ต้องทำใจ เพราะอยู่ในช่วงขาลง               แม้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะยังไม่กระเตื้องมากนัก โดยคาดว่าจะขยายตัว 3.0-3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดแรงงานของไทยในปีหน้ายังเติบโตแบบเปราะบาง ส่งผลให้หลายอาชีพเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แต่ในทางกลับกันมีหลายสาขาอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก บริษัทต่างๆ พากันเสนอค่าตอบแทนในอัตราสูงลิ่วเพื่อแย่งชิงตัวหลายคนคงอยากรู้ว่าในปีหน้า อาชีพไหนรุ่ง? อาชีพไหนร่วง? จะได้ปรับตัวให้สามารถอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ จากการตรวจสอบพบว่า อาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการอย่างมากในปีหน้านั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอาชีพในสายไอที บริการ การท่องเที่ยว และสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย               1.UX Designer (User Experience Designer) หรือนักออกแบบหน้าแอปพลิเคชัน ถือเป็นอาชีพมาแรงทางด้านไอทีอีกอาชีพหนึ่ง เพราะเมื่อแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น การออกแบบหน้าแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวก หรือเกิดความประทับใจต่อแอปพลิเคชันนั้นๆ จึงเป็นอาชีพซึ่งเป็นที่เป็นที่ต้องการของตลาด คนที่จะทำงานเกี่ยวกับ UX Designer แม้จะไม่จำเป็นต้องจบเฉพาะทางแต่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการแก้ปัญหา               2.Data Analyst (DA) หรือนักวิเคราะห์ข้อมูล เป็นงานที่นำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ เช่น การหาข้อมูลธุรกิจเชิงลึก (Business Insight) เพื่อนำไปสนับสนุนการตัดสินใจ ต่อยอดในแผนกลยุทธ์ (Strategy) หรือแผนงานต่อๆ ไปตามความต้องการของลูกค้า โดย Data analytic เน้นการนำข้อมูลมาหา insight เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค แล้วนำมารายงานผ่าน Data report, Data dashboard ให้องค์กรเข้าใจข้อมูลง่ายขึ้น โดย Data Analyst เป็นงานที่ต้องอาศัยสัญชาตญาณทางธุรกิจ (Business Sense) ค่อนข้างมาก เพราะต้องเจอกับข้อมูล ความต้องการ และโจทย์ที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา               3.Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ ข้อมูลคืออาชีพที่กำลังมาแรงและเป็นที่ต้องการในโลกของการทำงานยุคใหม่ การทำงานหลักๆ จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาพัฒนาเป็นโมเดล (Model) หรือเครื่องมือ (Tools) ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ ช่วยทำนายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยในการตัดสินใจ หรือการวางกลยุทธ์ขององค์กร เช่น สร้างระบบซื้อขายของออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อาชีพนี้เป็นที่ต้องการในตลาดทุกภาคส่วน                 4.Edge Computing หรือผู้ดูแลระบบประมวลผล เป็นหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ โดย Edge Computing คือการประมวลผลที่โอนถ่ายศูนย์กลางการทำงานไปที่ขอบของเครือข่ายและนำพลังประมวลผลเข้ามาอยู่ใกล้กับข้อมูลให้มากที่สุด สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชัน การใช้บังคับเครื่องจักร แอปพลิเคชันในรถยนต์ไฟฟ้า หรือการมอนิเตอร์ต่างๆ               5.Cyber Security หรือวิศวกรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นอาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และยังอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าความเสียหายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 World Economic Forum คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกว่าจะสูงถึง 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 15% โดยอาชีพ Cyber Security มีหน้าที่หลักคือ คอยเฝ้าระวัง ควบคุม ปกป้องข้อมูล โปรแกรม เครือข่าย อุปกรณ์จากการถูกขโมยและโจมตีข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นจึงต้องมีทักษะที่ครอบคลุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อจะได้รักษาความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ               6.E-commerce ค้าขายออนไลน์ เป็นอาชีพที่บูมมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม มีข้อดีคือไม่จำกัดวุฒิ สามารถสร้างรายได้อย่างไม่กำจัด และมีฐานลูกค้ากว้างมากทั้งในและต่างประเทศ สามารถขายผ่านสื่อออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ facebook อินสตาแกรม Tiktok หรือแอปชอปปิ้งออนไลน์ต่างๆ                 7.YouTuber และ Influencer หรือนักโฆษณาและรีวิวสินค้า เป็นหนึ่งในอาชีพทำเงินที่สร้างรายได้มหาศาลให้คนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุก็สามารถทำอาชีพนี้ได้เช่นกัน รายได้ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์และความขยันเป็นหลัก ขยันทำคอนเทนต์ ขยันลงคลิป เพื่อสร้างผู้ติดตาม เหมาะสำหรับคนที่มีทักษะในการพูดและการขาย มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ สร้างจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกจากนั้น รายได้ของเหล่า Youtuber และ Influencer ยังขึ้นอยู่กับความโด่งดังของบุคคลนั้นด้วย เพราะนอกจากจะมีรายได้จากเงินค่าโฆษณาที่เจ้าของแพลตฟอร์ม เช่น Youtube จ่ายให้แล้ว พวกเขายังมีรายได้จากการจ้างไปออกอีเวนต์ โชว์ตัว ไลฟ์สดในแพลตฟอร์มของตนเอง ซึ่งเรียกได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายงานนี้นั้นมีรายได้เทียบชั้นดารา นักแสดง หรือเซเลบในวงการบันเทิงเลยทีเดียว               8.Marketing Analyst หรือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์การตลาด ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากการวิเคราะห์ตลาดจะช่วยทำให้สามารถวางแผนการตลาดได้ดี และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น เบื้องหลังความสำเร็จของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาดล้วนเกิดจากการวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญ เช่น ลูกค้า คู่แข่ง ซึ่งการจะวิเคราะห์ตลาดได้นั้นจะต้องเก็บข้อมูลการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อาชีพนี้ต้องเข้าใจทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและด้านการตลาด               9.Customer Service หรือพนักงานบริการลูกค้า เช่น พนักงานดูแลลูกค้า Call Center เป็นสายงานที่ไม่ต้องกลัว Ai มาแย่งงาน เพราะท้ายที่สุดแล้วลูกค้ายังอยากคุยกับพนักงานที่เป็นคนมากกว่าระบบตอบรับอัตโนมัติ คนที่จะรุ่งในสายงานด้านการบริการลูกค้าต้องเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์เก่ง รักงานบริการ ชอบทำงานกับคน และมีเอเนอร์จีบวกอยู่เสมอ               10.อาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่าในปี 2566 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น นักบิน แอร์โฮสเตส สจ๊วต ซึ่งทำงานในสายการบินต่างๆ พนักงานโรงแรม มัคคุเทศก์ ตลอดจนภาคการขนส่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และอาจถึงขั้นขาดแคลน ยิ่งถ้านักท่องเที่ยวจีนกลับมา เชื่อว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2566 จะกลับมาอย่างมหาศาล จึงถือว่าในปีหน้าอาชีพด้านการท่องเที่ยวจะกลับมารุ่งอย่างแน่นอน               11.Financial Manager หรือผู้บริหารการเงิน มีหน้าที่จัดการวางแผนในเรื่องของการเงินในบริษัทใหญ่ๆ หรือในธนาคาร เป็นคนที่คอยดูแลเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของบริษัทเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางในด้านเศรษฐศาสตร์ มีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้ความสามารถในการทำงานเป็นทีม               12.งานด้านการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ จิตแพทย์ นักกายภาพบำบัด เป็นอาชีพที่ไม่มีทางตกงานอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันแม้มนุษย์เงินเดือนจะไม่ป่วยหนักแต่ก็มักเป็นโรคฮิตอย่างออฟฟิศซินโดรม บ้างมีภาวะเครียดทำให้เป็นโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรค imposter syndrome จากสภาพสังคมที่กดดันมากขึ้น สายงานนี้จึงเป็นที่ต้องการและค่อนข้างขาดแคลน               13.วิศวกรด้านพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เป็นสาขาอาชีพซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากวิกฤตพลังงานที่เกิดจากผลกระทบของสงครามระว่างประเทศ และปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วหมดไปกำลังร่อยหรอลงทุกที ทำให้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนมากขึ้น วิศวกรด้านนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาด               14.งานสตาฟอีเวนต์ และสตาฟคอนเสิร์ต ในปี 2566 เป็นปีที่จะมีการจัดงานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตกันอย่างคึกคัก หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลอนุญาตให้มีการจัดงานที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตของศิลปินต่างๆ ที่ถูกยกเลิกหรือเลื่อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสามารถกลับมาจัดได้ อีเวนต์ และคอนเสิร์ตที่อั้นมานานจึงพาเหรดกันจัดงานแบบติดๆ ซึ่งนอกจากครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ที่สร้างสรรค์งานอีเวนต์ และคอนเสิร์ตแล้ว ตำแหน่งงานซึ่งเป็นที่ต้องการจำนวนมากคือทีมสตาฟ ซึ่งงานสตาฟนั้นแม้จะเป็นงานพาร์ตไทม์ที่จ้างกันเป็นจ๊อบ จ่ายค่าจ้างเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่ก็จัดว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดีทีเดียว ส่วนอาชีพซึ่งตลาดแรงงานต้องการน้อยลงและมีแนวโน้มจะถูกปรับลดในปี 2566 ได้แก่               1.พนักงานธนาคาร เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาทำธุรกรรมการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้นและมีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด โดยการทำรายการด้านการเงิน ไม่ว่าจะรับเข้า หรือจ่ายออก แทบทุกอย่างทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน บัตรเครดิต/บัตรเดบิต พร้อมเพย์ ทำให้การบริการโดยพนักงานซึ่งอยู่ประจำธนาคารสาขาต่างๆ มีความจำเป็นน้อยลง ส่งผลให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธนาคารต่างๆ พากันประกาศปิดสาขาและเลิกจ้างพนักงานไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปี 2566 แนวโน้มก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป               2.สายงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือเมตาเวิร์ส (metaverse) เนื่องจากที่ผ่านมา เมตาเวิร์สยังไม่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ใช้บริการมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นเทคโนโลยีที่มาเร็วเกินไป ยังไม่ถึงเวลา ต้องรออีก 3-4 ปี หรืออาจต้องทบทวนว่าเมตาเวิร์สควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ล่าสุด เมื่อเดือน พ.ย.2565 มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก ในฐานะซีอีโอบริษัท Meta เจ้าของโปรเจกต์ใหญ่ Metaverse ได้ประกาศปลดพนักงานถึง 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของบริษัท โดยเขายอมรับความผิดพลาดในการตัดสินใจลงทุนและชี้ว่าปัญหาขณะนี้เกิดจากตลาดโฆษณาที่อยู่ในช่วงขาลง               3.พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้มากขึ้น จึงอาจมีการปรับลดพนักงานโรงงานลง ขณะเดียวกัน พนักงานเหล่านี้ต้องหันมาพัฒนาทักษะในการบังคับหุ่นยนต์มากขึ้น อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ลูกจ้างโรงงานยังพอใจชื้นได้บ้าง เนื่องจากจากการสำรวจพบว่านายจ้างมากกว่าครึ่ง คือ 53% ของนายจ้างในไทยยังไม่มีนโยบายในการปรับเปลี่ยนกรอบอัตรากำลังพนักงานในปี 2566 และนายจ้างราว 22% ต้องการเพิ่มจำนวนพนักงาน ในขณะที่มีเพียง 4% ที่ระบุว่าจะลดจำนวนพนักงานลง               4.ครูโรงเรียนเอกชน เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ยืดเยื้อส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว กระทบต่อทุกธุรกิจ แต่ที่หนักที่สุดคือภาคการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน เพราะผู้ปกครองของนักเรียนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาการว่างงาน หรือรายได้ลดลงจึงไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้จึงย้ายเด็กไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาลแทน ส่งผลจำนวนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเอกชนลดลงอย่างมาก ซึ่งในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศมีเด็กนักเรียนลดลงเกือบ 100,000 คน ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาตลอด 3 ปีผ่านมา โรงเรียนเอกชนทยอยปิดกิจการลง โดยมีการประกาศปิดโรงเรียนไปแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ เมื่อโรงเรียนเอกชนปิดตัวลง ครูโรงเรียนเอกชนก็ถูกเลิกจ้างตามไปด้วย  ขอขอบคุณข่าวสารและข้อมูลจาก www.mgronline.com

อ่านเพิ่มเติม
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
  • 700 บางนา-ตราด กม. 57 อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000
  • 03 893 9007
บริษัท อมตะซิตี้ ระยอง จำกัด
  • 7 ทางหลวงหมายเลข 331 กม. 39 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20230
  • 03 849 7007
ข้อมูลติดต่อ
  • amatajobsonline@amata.com
ช่องทางการติดตาม